กำกับ: ชเว ยองซู
เขียนบท: ลี มยองซุก
แนวละคร: ลึกลับ, สืบสวนสอบสวน
จำนวนตอน: 10
ออกอากาศ: เกาหลี - 1 มีนาคม 2556 - 3 พฤษภาคม 2556 ทาง โอซีเอ็น (โอเรียน ซีนีม่า เน็ตเวิร์ค)
ไทย - ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 น. ทางช่อง Thrill หมายเลข 53 ที่ออกอากาศทาง CTH และ ช่อง TOT iptv
ซีรี่ย์สุดยอดสเปเซียลเอฟเฟกต์ไซไฟดีเด่นในปี 2013….จะทำอย่างไรเมื่อเชื้อไวรัสหลุดออกมาจากห้องทดลอง คนที่ได้รับเชื้อต้องตายภายใน 3 วัน จะหลบได้อย่างไร ในเมื่อมันอยู่ในอากาศ...อัตรารอดเท่ากับศูนย์ ในการต่อต้านเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ นำทีมโดย ลี เมียงฮยอน นักสืบสวนที่จะมายับยั้งเชื่อโรคไวรัสไม่ให้แพร่กระจายจนเป็นภัยวิกฤติ เพื่อช่วยชีวิตของผู้คนจากเชื้อไวรัส! ร่วมด้วย ยูบิน (Yu Bin) แห่งวง Wonder Girl ในบทอีจูยอง สาวที่มีเสน่ห์และเป็นอัจฉริยะในด้านไอที
เรื่องย่อ
"ลี เมียงฮยอน" (ออม กีจุน) พยายามหลบหนีออกจากตึกโดยใช้บันไดหนีไฟ แต่ก็ไปไหนไม่รอดเพราะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดเอาไว้ เขาจึงทำร้ายเจ้าหน้าที่และหลบหนีไป แต่สุดท้ายก็ถูกไล่ต้อนขึ้นไปจนมุมบนชั้นดาดฟ้า... "ชอน จีวอน" เห็นเมียงฮยอนถูกหน่วยสวาทล้อมและเล็งปืนใส่จึงร้องเรียก "หัวหน้า!" ด้วยความเป็นห่วง เธอจะวิ่งเข้าไปหาเมียงฮยอนแต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขวางเอาไว้เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตราย เธอจึงได้แต่ขอร้องให้เมียงฮยอนยอมมอบตัว
เมียงฮยอนไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าและไม่ยอมจำนนเพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า เขาบอกจีวอนว่า ก่อนหน้านี้พวกตนพลาดอะไรไปบางอย่าง จึงจำเป็นต้องตรวจสอบหลักฐานใหม่อีกครั้ง ทันใดนั้น เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ฉายไฟสปอร์ตไลท์ใส่เมียงฮยอน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ๆ อยู่บนดาดฟ้าบุกเข้าจับกุมตัว จีวอนเดินตามตำรวจและหน่วยสวาทเข้าไปหาเมียงฮยอน แต่เมียงฮยอนตะโกนห้ามไม่ให้จีวอนเข้ามาใกล้ตน
ระหว่างนั้นเชื้อไวรัสได้บุกเข้าโจมตีอวัยวะภายในของเมียงฮยอนอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ ก่อนมีเลือดไหลออกมาจากดวงตาและหูทั้งสองข้าง ตามด้วยอาการกระอักเลือด เจ้าหน้าที่เห็นดังนั้นจึงสั่งให้ทุกคนล่าถอย ไม่นานเมียงฮยอนก็ล้มลงไปกองกับพื้น จีวอนได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจรีบติดต่อไปที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค (ซีดีซี) โดยแจ้งว่า "ลี เมียงฮยอน หัวหน้าหน่วยเฝ้าระวังและสอบสวนโรคติดต่อร้ายแรงติดเชื้อไวรัส"
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2013 หรือ 23 วันก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นของการแพร่ระบาด
หลังรับแจ้งเหตุเพลิงไหม้เมื่อเวลา 05.20 น. เจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็รีบรุดไปยังศูนย์การแพทย์ซังร็อกในเมืองฮวาซอง (จังหวัดคยองกี) ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ ทันทีที่ไปถึงเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันเข้าระงับเหตุท่ามกลางเสียงคล้ายระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ เมื่อเข้าไปตรวจสอบภายในก็พบว่ามีหมอคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าหายใจรวยรินอยู่บนพื้น เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงรีบเข้าไปช่วยเหลือ แต่หมอคนดังกล่าวกลับบอกให้ทุกคนรีบหนีไป ถึงกระนั้นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ช่วยกันหิ้วปีกหมอคนดังกล่าวออกจากตึกที่กำลังเกิดเพลิงไหม้ ก่อนส่งต่อให้หน่วยกู้ชีพ ระหว่างที่อยู่บนรถพยาบาล เจ้าหน้าที่พยายามยื้อชีวิตด้วยการทำซีพีอาร์ให้หมอซึ่งมีเลือดไหลออกมาจากดวงตาและใบหู แต่แล้วอยู่ๆ หมอก็กระอักเลือด (ใส่มือเจ้าหน้าที่กู้ชีพ) และเสียชีวิตทันที
ในตอนนั้น ขบวนรถพยาบาลได้แล่นผ่านรถเมล์คันหนึ่งซึ่งกำลังจอดรับผู้โดยสาร ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมาบนรถและตรงไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มสวมเสื้อฮู้ดสีดำนามว่า "คิม อินชอล" อินชอลหันไปมองเด็กน้อยที่นั่งข้างๆ แล้วพยายามกลั้นอาการไอเอาไว้ แต่สุดท้ายก็กระแอมออกมา
หลังเกิดเพลิงไหม้ 48 ชั่วโมง ทั้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและหน่วยกู้ชีพต่างก็เสียชีวิตแบบเฉียบพลันในสภาพมีเลือดออกที่ตาและหู แม้แต่ผู้หญิงที่อุ้มลูกมานั่งข้างๆ อินชอลบนรถเมล์เมื่อ 2 วันก่อน ก็เสียชีวิตบนโต๊ะอาหารที่บ้านในลักษณะเดียวกัน (ตอนนั้นลูกสาวของเธอยังไม่ปรากฏอาการ)
หลังเกิดเพลิงไหม้สามวัน หัวหน้าทีมปฏิบัติการ "โก ซูกิล" ก็เข้าไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุ เมื่อนักข่าวนามว่า "จอง วูจิน" เห็นซูกิลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของศูนย์ควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค (ซีดีซี) ก็รีบตรงเข้าไปหา เขาเห็นว่าหน่วยสอบสวนโรคติดต่อร้ายแรงถูกเรียกตัวมาที่นี่ด้วย จึงถามว่าเกิดโรคติดต่ออะไรกันแน่ ซูกิลพยายามบ่ายเบี่ยงและไล่ให้วูจินกลับไป แต่พอถูกตามตื๊อมากๆ เข้าเขาก็หลุดปากพูดว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไม่ทราบสายพันธุ์ ทำให้วูจินยิ่งอยากรู้มากขึ้น ทั้งยังนึกสงสัยว่าซูกิลไม่รู้จริงๆ หรือต้องการปิดข่าวกันกันแน่
ครั้นพอเมียงฮยอนมาถึง วูจินก็ถามเมียงฮยอน (ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยเฝ้าระวังและสอบสวนโรคติดต่อร้ายแรง) ถึงสาเหตุของการแพร่ระบาด เมียงฮยอนตอบว่า ตอนนี้พวกตนยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุและที่มาของโรคติดต่อ แต่ไม่มีใครรอดตายหลังติดเชื้อ เมื่อวูจินกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ล้วนสวมชุดป้องกันเชื้อแบบเต็มพิกัด เขาจึงเริ่มรู้สึกหวั่นๆ เมียงฮยอนสั่งให้ลูกน้องคนหนึ่งนำตัววูจินออกไปตรวจหาเชื้อไวรัส โดยบอกให้จดที่อยู่และเบอร์มือถือของวูจินเอาไว้ ทั้งยังขู่วูจินด้วยว่า อย่าปิดโทรศัพท์มือถือ เพราะหากเขา (วูจิน) ตายเพราะติดเชื้อไวรัส พวกตนจำเป็นต้องตามไปกำจัดศพเขา
หลังจากนั้น เมียงฮยอนและซูกิลก็เข้าไปสำรวจภายในศูนย์การแพทย์ซังร็อกที่ถูกเพลิงไหม้ เพื่อสืบหาเบาะแสที่จะนำไปสู่ต้นตอของการแพร่ระบาด แต่ทุกอย่างล้วนถูกเพลิงไหม้ไปหมดแล้ว ซูกิลตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นคนนอกที่นำเชื้อเข้ามาแพร่ในศูนย์การแพทย์แห่งนี้ แต่เมียงฮยอนแย้งว่าที่ผ่านมาไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อ และทีมพิสูจน์หลักฐานก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดต่อชนิดนี้ เขาสงสัยว่าทำไมโรคติดต่อร้ายแรงถึงเริ่มต้นแพร่ระบาดในศูนย์การแพทย์ที่อยู่ห่างไกลชุมชน ทั้งยังแปลกใจว่าทำไมศูนย์การแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยทางจิตจึงไม่มีกล้องวงจรปิด แถมยังเกิดเพลิงไหม้ในระหว่างที่ทุกคนกำลังติดเชื้อพอดี
หลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุแล้ว ลูกน้องเมียงฮยอนนามว่า "บง ซอนดง" ก็โทรฯ ตามเมียงฮยอนให้รีบมาพบตนที่โรงพยาบาลนาซานโดยบอกว่ามีเรื่องด่วน ทันทีที่เมียงฮยอนไปถึงซอนดงก็รายงานว่า จากการตรวจสอบเชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาด พบว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มีโครงสร้างโปรตีนคล้ายคลึงกับเชื้อ H5N1 ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคไข้หวัดนก ที่น่าตกใจก็คือ ไม่มีรายงานสัตว์ปีกติดเชื้อ แถมเชื้อดังกล่าวยังแพร่กระจายจากคนสู่คนโดยตรง เมียงฮยอนไม่เชื่อรายงานดังกล่าวและแย้งว่าถ้าไม่มีสัตว์ปีกติดเชื้อแล้วไข้หวัดนกจะระบาดมาสู่คนได้อย่างไร
หมอ "คิม เซจิน" ยืนยันว่าสิ่งที่ซอนดงพูดเป็นความจริง โดยนำภาพเชื้อไวรัสทั้งสองสายพันธุ์มาเปรียบเทียบให้ดูผ่านทางกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนเพื่อเป็นการยืนยัน พร้อมทั้งอธิบายว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่กับไวรัส H5N1 ที่ระบาดในเกาหลีใต้เมื่อปี 2003 มีโครงสร้างโปรตีนคล้ายกัน แต่มีกรดอะมิโนบางตัวที่แตกต่าง การกลายพันธุ์ดังกล่าวส่งผลให้ไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดมีความร้ายแรงมากกว่าไวรัสเมื่อปี 2003 หลายเท่า เพราะนอกจากจะโจมตีระบบทางเดินหายใจแล้ว ยังเข้าทำลายอวัยวะภายในทั้งหมดของผู้ได้รับเชื้อด้วย
เมื่อเห็นว่าเมียงฮยอนยังคงข้องใจ หมอเซจินจึงนำภาพสัตว์ทดลองที่เสียชีวิตมาให้เมียงฮยอนดู พร้อมทั้งอธิบายว่า ทั้งไก่และหนูต่างก็ตายตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเชื้อ เพราะไวรัสแพร่กระจายไปสู่สมองอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สัตว์ทดลองเหล่านี้เสียชีวิตแบบเฉียบพลัน แม้แต่ยาต้านเชื้อไวรัส "โอเซลทามิเวียร์" (หรือที่รู้จักในชื่อแบรนด์ "ทามิฟลู") ก็เอาไม่อยู่ เมียงฮยอนตกใจมากเมื่อรู้ว่ายาชนิดเดียวที่สามารถป้องกันและรักษาโรคไข้หวัดนก ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอาการที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือ ไวรัสชนิดนี้มีระยะฟักตัวแค่ 2 วัน ผู้ป่วยจึงเสียชีวิตภายในเวลาไม่ถึง 3 วันหลังได้รับเชื้อ
เมียงฮยอนสงสัยว่าไวรัสชนิดนี้แพร่กระจายทางอากาศหรือไม่ แม้ไม่อาจฟันธงแต่หมอเซจินเชื่อว่าไวรัสชนิดนี้ไม่แพร่กระจายทางอากาศ (ไม่ปรากฏหลักฐานบ่งชี้ ) ซอนดงเสริมว่าหากไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายทางอากาศจะมีความร้ายแรงมากกว่าไข้หวัดใหญ่สเปน* ที่ระบาดไปทั่วโลก เมื่อปี 1918 (พ.ศ. 2460) เมียงฮยอนตระหนักถึงความร้ายแรงของโรคจึงต้องการผลักดันให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ เขาถามหมอเซจินว่า รัฐบาลได้รับรายงานหรือยัง หมอเซจินตอบว่า รัฐบาลเพิ่งได้รับรายงานและพวกเขาก็กำลังเดินทางมาที่นี่
* ไข้หวัดใหญ่สเปน เริ่มแพร่ระบาดจากฝั่งอาร์กติก และข้ามมาสู่ฝั่งแปซิฟิกภายในระยะเวลา 2 เดือน มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 50-100 ล้านคน หรือเท่ากับ 1 ใน 3 ของประชากรในทวีปยุโรป
ระหว่างการประชุมเพื่อวางแผนรับมือและบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ เมียงฮยอนนำภาพเด็กหญิงที่เสียชีวิตในหอกักกันผู้ป่วยติดเชื้อของโรงพยาบาลนาซานมาเปิดให้ตัวแทนรัฐบาลดู จากนั้นก็รายงานสถานการณ์โดยระบุว่านับตั้งแต่เกิดเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่เข้าระงับเหตุ, หน่วยกู้ชีพ, เจ้าหน้าที่เก็บกู้และเคลื่อนย้ายศพ, สมาชิกในครอบครัวของผู้ที่กล่าวมาทั้งหมด ตลอดจนคนอื่นๆ ที่คนเหล่านี้ติดต่อพูดคุยด้วย ต่างติดเชื้อรวม 21 คน ในจำนวนนี้มี 17 คนที่เสียชีวิตแล้ว หากนับรวมผู้ติดเชื้อที่เสียชีวิตในศูนย์การแพทย์ซังร็อก ก็จะมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 34 คน
เมียงฮยอนยังบอกด้วยว่า หลังติดเชื้อไวรัสพันธุ์ใหม่ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคล้ายเป็นไข้ ไม่นานปอด ตับ หัวใจจะถูกทำลาย และจะมีเลือดไหลออกจากตา หู ปาก ก่อนเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันในเวลาต่อมา "ชเว จองแท" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุขและสวัสดิการถามว่า เชื้อดังกล่าวแพร่กระจายได้อย่างไร ชิม แทจิน หัวหน้าศูนย์ควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค (ซีดีซี) ตอบว่า ไวรัสชนิดนี้แพร่เชื้อผ่านละอองในอากาศจากการไอหรือจาม และจากการสัมผัสน้ำมูกน้ำลายผู้ติดเชื้อเช่นเดียวกับไข้หวัดธรรมดา เมียงฮยอนเสริมว่ามีผู้ป่วยบางรายที่ติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการ ถึงกระนั้นอัตราการเสียชีวิตก็ยังอยู่ที่ 100% อยู่ดี จึงต้องรีบหยุดยั้งและควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้ขยายออกไปในวงกว้างโดยด่วน
คิม โดจิน (เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล) สงสัยว่าโรคดังกล่าวระบาดได้อย่างไรในเมื่อไม่มีรายงานการติดเชื้อของสัตว์ปีก และปีนี้ก็ไม่มีการระบาดของไข้หวัดนกเลยด้วยซ้ำ แทจินตอบว่า เชื้อไวรัสอาจติดมากับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่เมียงฮยอนแย้งว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอยู่นี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ แม้แต่องค์การอนามัยโลกเองก็ไม่เคยพบและไม่มีในสารบบมาก่อน ที่เขาเป็นกังวลก็คือ มีประชาชน 12 คนติดเชื้อทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุเพลิงไหม้และไม่ได้ติดต่อโดยตรงกับผู้ติดเชื้อกลุ่มแรก เขาจึงอยากให้รัฐบาลจับมือองค์การอนามัยโลกเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา เนื่องจากไวรัสชนิดนี้ไม่มียารักษา แต่โดจินแย้งว่าจำนวนผู้เสียชีวิตยังไม่มาก และโบ้ยว่าทางซีดีซีน่าจะควบคุมการแพร่ระบาดได้
ทุกคน (รวมทั้งแทจิน) ต่างก็เห็นด้วยกับโดจินที่ไม่ต้องการให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เมียงฮยอนรู้สึกผิดหวังที่รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว ทั้งๆ ที่ผู้ติดเชื้อ 34 คนล้วนเสียชีวิตภายในเวลาไม่เกิน 3 วัน จองแทอ้างว่า มีข้อมูลเรื่องนี้น้อยมาก ซ้ำยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษา แถมไม่มีใครรู้ว่าเชื้อไวรัสเริ่มต้นแพร่ระบาดได้อย่างไร แล้วจะให้ทางการวางแผนรับมือได้ยังไง เมียงฮยอนรู้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐเป็นห่วงภาพลักษณ์มากกว่าชีวิตประชาชน จึงแย้งว่า ทุกคนที่ติดเชื้อจะต้องตาย ถ้าทุกคนตายกันหมดแล้วจะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโตไปเพื่ออะไร ทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น เมียงฮยอนเตือนว่าเชื้อไวรัสฆ่าคนโดยไม่เลือกหน้า ทุกคนจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไม่เว้นแม้กระทั่งสมาชิกในครอบครัวของโดจินและจองแทเอง
หลังเมียงฮยอนโดนไล่ออกจากห้องประชุม โทษฐานที่บังอาจพูดจาลบหลู่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล แทจินก็รีบตามออกมาเคลียร์ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเข้าข้างรัฐบาล (สถานการณ์บังคับและไม่มีทางเลือก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่รัฐ) แต่พออยู่กันตามลำพังเขากลับเห็นด้วยกับความความคิดของเมียงฮยอนโดยบอกว่า ความปลอดภัยของเกาหลีใต้อยู่ในมือเมียงฮยอน ทั้งยังขอให้เมียงฮยอนรีบหาสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาด ตลอดจนหาทางควบคุมก่อนที่จะสายเกินไป แต่อย่าให้ข้อเท็จจริงเรื่องไวรัสหลุดไปถึงหูนักข่าวและบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาด หากเมียงฮยอนไม่อยากเสียลูกทีมก็ต้องบอกทุกคนให้ปิดปาก เพราะคนที่ปล่อยข่าวจะไม่เพียงถูกลงโทษแต่อาจโดนไล่ออกด้วย
หลังได้รับคำสั่งให้สืบหาสาเหตุและวิธีการแพร่ระบาดก่อนเป็นลำดับแรก เมียงฮยอนก็เรียกลูกทีมมาประชุมและกระจายกำลังกันสืบหาสาเหตุและต้นตอของการแพร่ระบาด โดยสั่งให้ทีม A ตรวจสอบฟาร์มสัตว์ปีกที่อยู่ห่างจากศูนย์การแพทย์ซังร็อก ในรัศมี 5 กม. ส่วนทีม B ให้สำรวจการจำหน่ายสัตว์ปีกชำแหละทั้งในตลาดและตามซูเปอร์มาร์เก็ต รวมทั้งซัพพลายเออร์ที่ส่งอาหารให้ศูนย์การแพทย์ซังร็อก ส่วนซูกิลได้รับคำสั่งให้ไปตรวจสอบประวัติผู้ติดเชื้อในศูนย์การแพทย์ (ซึ่งเป็นกลุ่มแรกสุดที่ติดเชื้อ) ว่ามีใครเคยสัมผัสสัตว์ปีกบ้าง และให้ตรวจสอบว่ามีประชาชนที่อาศัยอยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตร (จากศูนย์การแพทย์ซังร็อก) ติดเชื้อบ้างหรือไม่
ส่วน "ลี จูยอง" ให้ตรวจสอบว่าในรอบ 10 วันที่ผ่านมา มีผู้ที่ติดเชื้อคนใดเดินทางไปประเทศจีน ไทย* อียิปต์ หรือประเทศอื่นๆ ที่เคยมีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ทั้งยังให้สืบดูว่ามีผู้ที่ติดเชื้อคนใดเคยติดต่อกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศเหล่านั้นหรือไม่
* สาเหตุที่กล่าวถึงประเทศไทยเป็นเพราะ โรคไข้หวัดนก แพร่ระบาดมาสู่ประเทศไทยในปี พ.ศ .2547 โดยมียอดผู้ป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดในปีนั้น กล่าวคือ พบผู้ป่วย 17 ราย เสียชีวิต 12 ราย และมีพื้นที่ระบาดมากที่สุดถึง 60 จังหวัด ส่วนปี พ.ศ. 2548 พบผู้ป่วย 5 ราย เสียชีวิต 2 ราย มีพื้นที่ระบาด 21 จังหวัด และปี พ.ศ. 2549 มีผู้ป่วย 3 ราย เสียชีวิต 3 ราย โดยระบาดใน 2 จังหวัด รวมผู้ป่วยทั้งสิ้น 25 ราย เสียชีวิต 17 ราย
เมียงฮยอนกำชับลูกทีมทุกคนให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และห้ามบอกใครโดยเด็ดขาดไม่เว้นแม้กระทั่งคนในครอบครัว หลังเลิกประชุม ซูกิลเข้าไปหาเมียงฮยอนในห้องทำงานแล้วแนะนำให้เขาโทรฯ หาภรรยา แต่เมียงฮยอนปฏิเสธโดยอ้างว่าตนเองก็ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเช่นกัน ถึงกระนั้นซูกิลก็ยังอยากให้เขาโทรฯ ไปเตือนภรรยา เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครในทีมสูญเสียคนในครอบครัวเพราะโรคติดต่อนอกจากเมียงฮยอน ซูกิลรู้ว่าเมียงฮยอนยังคงเจ็บช้ำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจึงไม่อยากให้เมียงฮยอนสูญเสียภรรยา (เพราะโรคติดต่อ) ไปอีกคน เมียงฮยอนยืนชั่งใจชั่วขณะ แต่สุดท้ายเขาก็หิ้วกระเป๋าออกไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่โทรฯ หาภรรยา
ระหว่างที่เมียงฮยอนและลูกทีมต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ (แต่ยังไม่พบเบาะแสใดๆ) อินชอลซึ่งเป็นพาหะนำโรคก็เดินเพ่นพ่านไปทั่วทั้งเมือง และนอนพักค้างคืนท่ามกลางคนเร่ร่อนไร้บ้าน
วันที่ 6 ของการแพร่ระบาด
ที่โรงพยาบาลนาซานซึ่งถูกใช้เป็นสถานกักกันผู้ป่วยติดเชื้อ... หมอเซจินเข้ามาตรวจดูอาการผู้ป่วยในหอกักกันแต่สิ่งที่เขาพอทำได้ก็มีเพียงให้ยาแก้ปวดคนไข้ (เพราะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และไม่มียาต้านเชื้อไวรัสตัวใดสามารถรักษาโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ แถมอัตราการรอดชีวิตยังเท่ากับศูนย์อีกด้วย) หลังตรวจอาการผู้ป่วยติดเชื้อแล้ว หมอเซจินก็ถูกตามตัวให้ไปพบหัวหน้าแผนกโรคติดต่อ
ทันทีที่ไปถึง หมอยูน อิลจุง (หัวหน้าแผนกโรคติดต่อ) ก็บ่นกับหมอเซจินว่า ก่อนหน้านี้ตนเตือนรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้เฝ้าระวังไข้หวัดนก แต่รัฐบาลกลับไม่เห็นความสำคัญและเลือกที่จะตัดงบฯ ในส่วนนี้ พอเกิดการแพร่ระบาดและมีผู้ป่วยเสียชีวิต กลับมาโทษว่าเป็นเพราะเทคโนโลยีในการรักษาของโรงพยาบาลไม่ดีพอ เขายังบอกด้วยว่า "ถ้าโครงการวิจัยเมื่อ 2 ปีก่อน ไม่ถูกระงับกลางคันล่ะก็.... ในตอนนั้นผมบอกให้พวกเขาใส่ชื่อคุณเข้าไปในทีมวิจัยด้วย แต่ใครบางคนจงใจถอดชื่อคุณออก คุณเองก็อยากสร้างผลงานด้วยการเข้าร่วมโครงการวิจัยไม่ใช่เหรอ ถึงได้ออกมาร้องเรียนว่าโดนถอดชื่อออกในตอนนั้น" แม้ยังคงเจ็บปวดกับเรื่องราวในครั้งนั้น แต่หมอเซจินก็ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีต จึงตัดบทว่าโครงการวิจัยดังกล่าวล่มไปแล้ว ถึงกระนั้นหมออิลจุงก็ยังคงรำพึงรำพันว่า "ถ้าการวิจัยในตอนนั้นประสบความสำเร็จแล้วล่ะก็ ป่านนี้... ถ้าเป็นอย่างนั้น ในตอนนี้...."
หลังแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ได้ 3 วัน ทีมสอบสวนโรคติดต่อร้ายแรงของเมียงฮยอนต่างก็คว้าน้ำเหลว เมียงฮยอนสรุปผลการดำเนินงานให้แทจินฟังว่า ไม่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในฟาร์มสัตว์ปีกและพื้นที่โดยรอบศูนย์การแพทย์ซังร็อก ทำให้แทจินรู้สึกผิดหวังที่ผ่านไป 3 วันแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้า เมียงฮยอนแย้งว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ที่สามารถหาทางแก้ไขได้ในวันสองวัน จึงควรยกระดับการเตือนภัยให้สูงขึ้น แทจินเองก็อยากทำเช่นนั้นแต่ทั้งเขาและเมียงฮยอนต่างก็กินเงินเดือนรัฐบาลจึงมีหน้าที่ทำตามคำสั่ง สิ่งเดียวที่เขาพอจะช่วยเมียงฮยอนได้ ก็คือหาพนักงานใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาเสริมทีมเมียงฮยอน
และคนๆ นั้นก็คือจีวอน แทจินกล่าวว่าจีวอนถูกทางการส่งไปทำงานร่วมกับองค์การอนามัยโรคเมื่อสองปีก่อนและเพื่งกลับมา เธอมีประสบการณ์ในการทำงานระดับนานาชาติมาสองปีเต็ม จึงมีความเหมาะสมที่จะมาช่วยสืบหาสาเหตุของการแพร่ระบาด เมียงฮยอนดูแฟ้มประวัติการทำงานของจีวอนแล้วแย้งว่า เธอจะมีประสบการณ์ในทางปฏิบัติเพียงแค่ปีเดียว แต่แทจินยืนยันว่าจีวอนเป็นคนฉลาดและเรียนรู้ได้เร็ว อย่างน้อยๆ การเข้าร่วมทีมสอบสวนโรคฯ ของจีวอนก็น่าจะช่วยหาคำตอบให้สังคมได้หากข่าวเรื่องไวรัสหลุดลอดออกไป
เมื่อเมียงฮยอนกลับเข้าออฟฟิศ ซอนดงก็แนะนำจีวอนในฐานะผู้ร่วมทีมคนใหม่ จีวอนรีบรายงานตัว "นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน ชั้นชื่อ "ชอน จีวอน" ค่ะ นับตั้งแต่วันนี้...." เมียงฮยอนไม่สนใจฟัง เขาโยนแฟ้มลงบนโต๊ะแล้วบอกให้จีวอนท่องจำทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น จีวอนพยายามประท้วงแต่เมียงฮยอนตัดบทโดยบอกว่าเธอมาผิดเวลา (เขาต้องการคนที่พร้อมทำงานทันที และมองว่าจีวอนประสบการณ์น้อยเกินไป) ถึงกระนั้นจีวอนก็แย้งว่าเธออ่านคู่มือบริหารจัดการท่ามกลางสภาวะวิกฤตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เมียงฮยอนจึงบอกกึ่งรำคาญให้จีวอนลืมขั้นตอนการทำงานขององค์การอนามัยโลก ตลอดจนคู่มือต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นสำหรับที่นี่ จีวอนจึงบอกว่าเธออ่านรายงานแล้ว เลยรู้ว่าเชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดมีความแตกต่างจากโรคติดต่อทั่วไป ถึงกระนั้น นี่ก็ไม่ใช่คดีก่อการร้ายหรืออาชญากรรม แม้จะต่างกันยังไงแต่ก็ยังคงเป็นเคสโรคติดต่ออยู่ดี
เมียงฮยอนฟังแล้วถึงกับอึ้งและเถียงไม่ออก เขาถามซอนดงว่าพบเบาะแสอะไรไหม ซอนดงตอบว่าไม่พบเชื้อไวรัสเจือปนอยู่ในแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้ศูนย์การแพทย์ซังร็อก ซูกิลข้องใจว่าทำไมไข้หวัดนกจึงแพร่ระบาดทั้งๆ ที่ไม่มีสัตว์ปีกติดเชื้อ ซ้ำยังติดต่อจากคนสู่คน แถมยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่ เมียงฮยอนจึงสรุปว่า พบร่องรอยของเชื้อไวรัสที่ศูนย์การแพทย์ซังร็อกเพียงแห่งเดียว และมีเพียงมนุษย์ที่ติดโรคนี้ จีวอนตั้งข้อสังเกตว่ามีศพของผู้ติดเชื้ออยู่ 2 ศพที่ไม่สามารถระบุตัวตน จึงถามว่ามีการสืบสวนที่มาของทั้งสองศพนี้แล้วหรือยัง ซูกิลตอบว่าปัญหาก็คือทั้งสองศพไม่มีญาติมาแสดงตัว จีวอนกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นการสอบสวนโรคก็ยังไม่สมบูรณ์ เพราะหนึ่งในสองคนนั้นอาจเคยสัมผัสหรือใกล้ชิดสัตว์ปีกที่ติดเชื้อไวรัสมาก่อน
เมียงฮยอนสรุปต่อว่า การแพร่ระบาดเกิดขึ้นในรอบ 10 วันที่ผ่านมาหรืออาจน้อยกว่านั้น ศูนย์การแพทย์ซังร็อกเป็นสถานบำบัดรักษาผู้ป่วยทางจิตที่อยู่ห่างไกลชุมชน ดังนั้น ผู้ที่สามารถผ่านเข้าออกได้โดยอิสระ (ไม่ต้องทำบันทึกเข้าออก) ก็น่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ และถ้าสองศพที่ไม่อาจระบุตัวตนคือคนไข้ พวกเขาก็ไม่น่าจะมีโอกาสใกล้ชิดสัตว์ปีก ที่สำคัญไม่พบว่ามีสัตว์ปีกติดเชื้อ และไม่มีรายงานเรื่องโรคระบาดในหมู่สัตว์ปีกเลยด้วยซ้ำ
เมียงฮยอนถามจูยองว่าตรวจสอบบริษัทรักษาความปลอดภัยหรือยัง จีวอนถามเมียงฮยอนว่าทำไมไม่ให้พนักงานสืบสวนสอบสวนเป็นคนตรวจสอบบริษัทที่ดูแลด้านความปลอดภัยให้ศูนย์การแพทย์ เมียงฮยอนกล่าวว่า พวกตนนี่แหล่ะคือทีมสอบสวน เพราะเรื่องนี้ถือเป็นความลับ จึงไม่อาจเตือนหรือให้ข้อมูลคนนอกได้ และถ้าปล่อยให้คนอื่นรับผิดชอบแทน พวกเขาก็อาจสัมผัสกับเชื้อไวรัสทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมชุดป้องกัน พูดจบเมียงฮยอนก็สั่งให้จูยองตรวจสอบ (เจาะข้อมูล) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของศูนย์การแพทย์ ด้านซูกิลและซอนดงให้ตรวจสอบจำนวนผู้ติดเชื้อ ส่วนตนจะตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้ จากนั้นก็สั่งปิดการประชุม
จีวอนถามเมียงฮยอนว่าจะให้เธอทำอะไร เมียงฮยอนบอกให้จีวอนเดินทางไปสืบหาข้อมูลที่บริษัทรักษาความปลอดภัยในละแวกเมืองฮวาซองกับตน โดยบอกเหตุผลที่ต้องการไปตรวจสอบว่า หลังสัญญาณเตือนไฟไหม้ดัง พวกเขาต้องไปถึงจุดเกิดเหตุภายในเวลา 10 นาที หากตรวจสอบบริษัทรักษาความปลอดภัยทั้งหมดที่อยู่ในรัศมี 10 ก.ม. ก็อาจพบเบาะแสอะไรบ้าง แต่หลังจากสืบดูเกือบทุกที่ทั้งคู่กลับไม่พบเบาะแสหรือข้อมูลใดๆ ที่เป็นประโยชน์เลย ถึงกระนั้นเมียงฮยอนก็ยังไม่หมดหวัง เขาบอกจีวอนว่ายังเหลืออีกหนึ่งแห่งที่ต้องไป
และแล้วทั้งคู่ก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา เมื่อรู้ว่าบริษัทแห่งนี้ดูแลระบบรักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดให้ศูนย์การแพทย์ซังร็อกมานาน 3 ปีแล้ว แต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่สามารถนำเครื่องบันทึกภาพออกมาได้ ทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดเพลิงไหม้พวกเขาก็รีบไปที่ศูนย์การแพทย์ แต่ถูกกันไม่ให้เข้าไปภายในตัวตึก พวกเขาพยายามขอเข้าไปตรวจสอบระบบกล้องวงจรปิด แต่เจ้าหน้าที่กลับบอกว่าไม่มีอะไรเหลือแล้ว (ไม่มีทั้งกล้องและเครื่องบันทึกภาพ) ทำให้พวกเขารู้สึกงงมาก จีวอนถามว่าสามารถดูภาพจากกล้องวงจรปิดด้วยวิธีอื่นได้ไหม และมีการป้อนภาพจากกล้องวงจรปิดเข้าเซิรฟเวอร์ของทางบริษัทโดยอัตโนมัติหรือเปล่า พนักงานคนดังกล่าวนึกขึ้นได้ว่ามีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติที่สำนักงานใหญ่ จึงขอเวลาติดต่อประสานงานไปยังฝ่ายเทคนิค
ในเวลาเดียวกันนั้น ยู ซูอิน ภรรยาของเมียงฮยอนก็แวะไปสถานที่เก็บเถ้ากระดูกของลูกสาว ซึ่งเสียชีวิตจากโรคติดต่อในวัย 3 ขวบ ระหว่างรอข้อมูลเมียงฮยอนคิดจะโทรฯ ไปหาภรรยา แต่สุดท้ายก็ลังเลและตัดใจไม่โทรไปหา
หลังตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ถูกส่งมา ทุกคนต่างก็แปลกใจเมื่อพบว่าข้อมูลที่บันทึกไว้ได้รับความเสียหาย แถมยังเกิดความเสียหายเฉพาะภาพจากกล้องที่อยู่ภายในศูนย์การแพทย์ซังร็อกเท่านั้น เมียงฮยอนจึงนำไฟล์ภาพกลับไปให้จูยองตรวจสอบ (ระหว่างนั้นอินชอลซึ่งเป็นตัวการแพร่เชื้อ กำลังเดินไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม และถูกกล้องวงจรปิดบันทึกภาพเอาไว้)
หลังตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ถูกส่งมา ทุกคนต่างก็แปลกใจเมื่อพบว่าข้อมูลที่บันทึกไว้ได้รับความเสียหาย แถมยังเกิดความเสียหายเฉพาะภาพจากกล้องที่อยู่ภายในศูนย์การแพทย์ซังร็อกเท่านั้น เมียงฮยอนจึงนำไฟล์ภาพกลับไปให้จูยองตรวจสอบ (ระหว่างนั้นอินชอลซึ่งเป็นตัวการแพร่เชื้อ กำลังเดินไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม และถูกกล้องวงจรปิดบันทึกภาพเอาไว้)
จูยองพยายามกู้ไฟล้ภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลซังร็อก แต่ก็ไม่สามารถกู้คืนได้เพราะภาพทั้งหมดได้ถูกทำลายไปแล้ว เมียงฮยอนจึงถามถึงข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของศูนย์การแพทย์ซังร็อก จูยองบอกว่าเธอสามารถกู้คืนมาได้ทั้งหมดแต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร เธอนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงบอกเมียงฮยอนว่า ในวันที่เกิดเพลิงไหม้มีผู้เสียชีวิตภายในศูนย์การแพทย์ซังร็อกทั้งหมด 17 คน แต่เธอตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าภายในศูนย์การแพทย์ซังร็อกมี แพทย์ พยาบาล และคนไข้ รวมกันทั้งสิ้นเพียง 15 คนเท่านั้น ทุกคนจึงสงสัยว่าอีก 2 ศพที่เหลือเป็นใครกัน
ซูกิลสงสัยว่าอาจเป็นญาติผู้ป่วย แต่ซอนดงแย้งว่าถ้าเป็นเช่นนั้นต้องมีคนติดต่อมาที่พวกตนแล้ว (ขอรับศพและแสดงหลักฐานว่าผู้ตายเป็นใคร) เมียงฮยอนสงสัยว่าในวันเกิดเหตุมีบุคคลภายนอกอยู่ที่ศูนย์การแพทย์กี่คนกันแน่ เขาตั้งสมมุติฐานว่าอาจมีมากกว่า 2 คน และอาจมีใครบางคน (ที่ติดเชื้อ) หนีรอดออกมาได้ และนั่นก็เป็นเหตุให้มีผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่เคยไปที่ศูนย์การแพทย์ซังร็อกติดเชื้อ 12 คน เพราะหลังออกจากศูนย์การแพทย์ฯ แล้ว คนๆ นั้นก็นำเชื้อไวรัสไปแพร่ให้กับผู้ที่อยู่ใกล้เคียง จีวอนกล่าวว่า "หัวหน้าหน่วยคะ ถ้าสมมุติฐานของคุณถูกต้องแล้วล่ะก็...." เมียงฮยอนแทรกขึ้นว่า "โรคติดต่อกำลังแพร่ระบาด"
ในเวลาเดียวกันนั้น อินชอลยังคงเดินเพ่นพ่านไปตามสถานที่ต่างๆ เขาหันรีหันขวางเหมือนกลัวมีคนตามมา จากนั้นก็เข้าไปหาซื้อของในร้านสะดวกซื้อ โชคร้ายที่ภรรยาของเมียงฮยอนก็กำลังเลือกซื้อของในร้านดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซ้ำร้ายทั้งคู่ยังบังเอิญหยิบบะหมี่สำเร็จรูปซองเดียวกัน อินชอลกล่าวขอโทษแล้วรีบวางบะหมี่ซองดังกล่าวให้ภรรยาของเมียงฮยอน แต่เธอบอกให้อินชอลหยิบก่อน ทันใดนั้น อินชอลก็ไอใส่หน้าภรรยาของเมียงฮยอนโดยไม่ได้ตั้งใจ เขารีบกล่าวขอโทษจากนั้นก็หยิบซองบะหมี่แล้วเดินจากไป
ซอนดงพบรายงานข่าวทางอินเตอร์เน็ตที่ระบุว่า สำนักงานใหญ่ซีดีซีปิดข่าวเรื่องการแพร่ระบาดของโรคติดต่อลึกลับ ซ้ำยังเอ่ยชื่อซูกิลในข่าวอีกด้วย ซูกิลโกรธมากจึงโทรศัพท์ไปต่อว่าวูจิน (นักข่าว) แต่เมียงฮยอนแย่งโทรศัพท์มาพูดเอง เขาสั่งให้วูจินลบข่าวดังกล่าวเพื่อแลกกับข้อมูลและการให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ วูจินจึงยอมลบข่าวแต่โดยดี หลังลบข่าวแล้ววูจินก็ได้รับอีเมล์ลึกลับเกี่ยวกับเหตุเพลิงไหม้ที่ศูนย์การแพทย์ซังร็อก
อินชอลเดินไอไปตามตรอกแคบๆ และหันไปมองทางด้านหลังเป็นระยะ ก่อนเดินขึ้นไปยังห้องพักบนตึกแห่งหนึ่ง เพื่อนของอินชอลบอกข่าวดีว่า พี่ชายตนต้องการคนช่วยงานในร้านอินเตอร์เน็ทย่านกังนัม ตนจึงบอกให้พี่ชายรับอินชอลเข้าทำงานโดยเริ่มทำงานได้ตั้งแต่คืนวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป อินชอล ลังเลเพราะกลัวว่าแกงค์ทวงหนี้จะตามมาเจอ แต่เพื่อนของเขาแย้งว่าคนพวกนั้นไม่ใช่ซีไอเอหรือสายลับ และคงไม่ว่างถึงขนาดพลิกแผ่นดินหาอินชอล
หลังสร้างความมั่นใจให้อินชอลแล้ว เขาก็บอกอินชอลว่าตนนัดพี่ชายเอาไว้ที่สถานีรถไฟกังนัมเลยจะพาอินชอลไปพบพี่ชายคืนวันพรุ่งนี้ เพื่อนคนดังกล่าวนึกว่าอินชอลถูกแกงค์ทวงหนี้จับตัวไปและถูกฆ่าตายแล้ว จึงถามด้วยความสงสัยว่าอินชอลหนีออกมาได้อย่างไร (อินชอลนึกถึงเหตุการณ์ขณะเกิดเพลิงไหม้ ในตอนนั้นเขาพยายามวิ่งหนีออกมาแต่ถูกหมอคนหนึ่งจับขาเอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็หลบหนีออกมาได้) อินชอลบอกเพื่อนเพียงว่าตนก็แค่โชคดีที่หนีรอดมาได้ หลังจากนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องครัวเพื่อต้มบะหมี่ ระหว่างนั้น เพื่อนของเขาเริ่มมีอาการไออย่างรุนแรง
วันที่ 7 ของการแพร่ระบาด
จีวอนนั่งอ่านรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกขององค์การอนามัยโลกตลอดทั้งคืน โดยให้เหตุผลกับซอนดงว่า เธอมาทีหลังจึงอยากตามทุกคนให้ทัน เพราะดูเหมือนว่าหัวหน้าหน่วยเมียงฮยอนจะไม่ค่อยชอบเธอสักเท่าไหร่ ซอนดงแย้งว่าไม่จริง ตอนที่ตนเข้ามาใหม่ๆ ก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวเช่นกัน เขายืนยันว่าหัวหน้าหน่วยเป็นคนอย่างนั้นเอง จีวอนรู้สึกได้ว่าทุกคนชอบหัวหน้าหน่วย ซอนดงจึงบอกว่าจูยองและหัวหน้าทีม (ซูกิล) ปลื้มหัวหน้าหน่วยเอามากๆ ที่ผ่านมาเป็นเพราะจูยองเลยไม่มีผู้หญิงเข้ามาร่วมทีม ส่วนซูกิลก็ทำตามที่หัวหน้าหน่วยบอกทุกอย่าง เพราะหัวหน้าหน่วยเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน
จีวอนสงสัยว่าเมียงฮยอนแต่งงานหรือยัง ซอนดงบอกว่า 'เคยแต่ง' ก่อนเผยความลับให้จีวอนฟังว่า ความจริงแล้วเมื่อ 3 ปีก่อนมีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ แต่เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อมีน้อยมาก และสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดเอาไว้ได้ จึงไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ โชคร้ายที่ลูกสาวของหัวหน้าหน่วยเมียงฮยอนเป็นหนึ่งในผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในวัยเพียง 3 ขวบ หลังจากนั้น หัวหน้าหน่วยเมียงฮยอนก็แยกทางกับภรรยาและแทบไม่เป็นผู้เป็นคน หัวหน้าฝ่าย (แทจิน) และหัวหน้าทีม ต้องใช้ความพยายามยามหนักกว่าจะดึงหัวหน้าหน่วยเมียงฮยอนให้กลับมาเป็นอย่างทุกวันนี้ หลังเล่าจบซอนดงก็บอกจีวอนให้แกล้งทำเป็นไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
ด้านเมียงฮยอนซึ่งอยู่ในห้องทำงาน ก็กำลังนั่งมองแผนที่แสดงจุดที่พบผู้ติดเชื้อ 12 คน (ทุกคนไม่มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับเหตุเพลิงไหม้) หลังมองอย่างครุ่นคิดได้สักพักเขาก็ลบรายชื่อออกทั้งหมดแล้วลากเส้นเชื่อมต่อในแต่ละจุดแทน จีวอนผ่านมาเห็นเข้าพอดีจึงจำได้ว่าเป็นเส้นทางเดินรถโดยสารสาธารณะ เมียงฮยอนสั่งให้จูยองตรวจสอบรถเมล์ที่วิ่งบนเส้นทางดังกล่าวทันที จูยองบอกว่าถ้าผู้ติดเชื้อใช้บัตรโดยสาร (บัตรอีเล็กทรอนิกส์) ก็จะพบความเคลื่อนไหวพวกเขาในระบบข้อมูลของบริษัทเดินรถ หลังค้นหาได้ไม่นาน จูยองก็พบว่ามีผู้ติดเชื้อ 5 คนใช้บริการรถเมล์ชินฮวา สาย 400 และ 400-4 ภายในช่วงเวลา 2 ชั่วโมง เมียงฮยอนซึ่งไม่หลับไม่นอนทั้งคืน (เช่นเดียวกับลูกทีมทุกคน) บอกให้ทุกคนรอรับคำสั่งอยู่ที่ออฟฟิศ ส่วนตนจะไปสืบหาข้อมูลที่บริษัทรถเมล์ จีวอนได้ฟังดังนั้นก็ขอตามไปด้วย
ทั้งคู่ไปถึงท่ารถเมล์แต่เช้า เพื่อสืบหาคนป่วยเคยที่ขึ้นรถเมล์สาย 400 และ 400-4 ผู้จัดการบริษัทเดินรถจึงบอกว่าพนักงานขับรถคนหนึ่งไม่มาทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ ทางบริษัทพยายามติดต่อพนักงานคนนี้หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จีวอนจึงขอที่อยู่พนักงานคนดังกล่าว... ซูกิลและซอนดงได้รับมอบหมายให้นำทีมเจ้าหน้าที่ซีดีซีไปตรวจสอบห้องพักของคนขับรถเมล์ โดยสวมเพียงหน้ากากและถุงมือป้องกัน (ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ สวมชุดป้องกันเชื้อ) เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง ทั้งคู่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าคนขับรถนอนเสียชีวิตกลางห้อง ในสภาพที่มีเลือดออกบริเวณตาและใบหูทั้งสองข้าง
อีกด้านหนึ่งวูจิน (นักข่าว) ก็ให้เพื่อนร่วมงานที่แผนกบุคคลช่วยตรวจสอบที่มาของอีเมล์ แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะไม่ใช่ไอพีในประเทศ แถมยังถูกส่งผ่านมาจากหลายสถานที่ในต่างประเทศ เมื่อถูกถามว่าอยากรู้ไปทำไม วูจินก็ตัดบทด้วยการแกล้งทำเป็นไม่พอใจที่เพื่อนช่วยหาต้นตอของอีเมล์ไม่ได้ แล้วเดินออกจากห้องไป พลางนึกสงสัยว่าคนที่ส่งอีเมล์มาให้คงได้อ่านข่าวก่อนที่ตนจะลบ จึงรู้ว่าตนสนใจเคสนี้ ยิ่งนึกเขาก็ยิ่งสงสัยว่าคนที่ส่งอีเมล์มาให้เป็นใคร ก่อนพูดกับตัวเองแบบขำๆ ว่า "หรือว่าจะเป็นคนลอบวางเพลิง" (ภาพตัดไปที่หมอเซจินซึ่งกำลังนั่งมองหนูตะเภาในกรงอย่างครุ่นคิด)
ระหว่างตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบนรถเมล์ (ที่คนขับเสียชีวิตเพราะติดเชื้อ) ซึ่งเป็นภาพตอนที่อินชอลลุกให้ชายสูงวัยคนหนึ่งนั่ง โดยที่ยังคงมีอาการไอตลอดเวลา ขณะที่อินชอลยืนอยู่บนรถ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเพลินจนเกือบเลยป้ายจึงร้องบอกให้คนขับรถจอด ด้วยความเร่งรีบเธอจึงชนอินชอลอย่างจัง ทำให้อินชอลล้มหน้าคว่ำเข้าไปหาผู้โดยสารชายอีกคน หลังดูภาพผู้ติดเชื้อทั้งหมดที่อยู่บนรถเมล์คันดังกล่าวแล้ว เมียงฮยอนก็บอกให้จูยองย้อนกลับไปดูภาพดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบว่าใครกันแน่ที่เป็นพาหะนำโรคหลังรอดตายจากเหตุเพลิงไหม้
ระหว่างตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบนรถเมล์ (ที่คนขับเสียชีวิตเพราะติดเชื้อ) ซึ่งเป็นภาพตอนที่อินชอลลุกให้ชายสูงวัยคนหนึ่งนั่ง โดยที่ยังคงมีอาการไอตลอดเวลา ขณะที่อินชอลยืนอยู่บนรถ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเพลินจนเกือบเลยป้ายจึงร้องบอกให้คนขับรถจอด ด้วยความเร่งรีบเธอจึงชนอินชอลอย่างจัง ทำให้อินชอลล้มหน้าคว่ำเข้าไปหาผู้โดยสารชายอีกคน หลังดูภาพผู้ติดเชื้อทั้งหมดที่อยู่บนรถเมล์คันดังกล่าวแล้ว เมียงฮยอนก็บอกให้จูยองย้อนกลับไปดูภาพดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบว่าใครกันแน่ที่เป็นพาหะนำโรคหลังรอดตายจากเหตุเพลิงไหม้
จีวอนดูภาพแล้วให้ข้อมูลว่าเด็กผู้หญิงที่นั่งตักแม่เสียชีวิตเป็นสุดท้าย (ในบรรดาผู้ติดเชื้อทั้งหมดที่โดยสารรถเมล์คันนี้) ส่วนแม่เด็กเสียชีวิตเป็นคนแรก (ก่อนหน้านี้อินชอลนั่งข้างๆ แม่ลูกคู่นี้) ขณะที่ชายสูงวัยที่อินชอลลุกให้นั่ง หญิงสาวที่นั่งใกล้ๆ และผู้โดยสารชายที่อินชอลล้มเข้าไปหาล้วนเสียชีวิตทั้งหมดแล้ว คงมีเพียงอินชอลที่ยังไม่ปรากฏชื่อในรายการผู้เสียชีวิต เธอตั้งข้อสังเกตว่าบางทีอินชอลอาจเสียชีวิตแล้วแต่ยังไม่มีใครรายงานเข้ามา เมียงฮยอนจึงสั่งให้จีวอนเช็คศูนย์การแพทย์ในกรุงโซลว่ามีคนไข้เสียชีวิตเพราะติดเชื้อไวรัสหรือไม่ และให้สอบถามไปยังสถานีตำรวจด้วย
จูยองมองภาพจากกล้องวงจรปิดบนรถเมล์แล้วตั้งข้อสังเกตว่า ในบรรดาผู้ติดเชื้อที่อยู่บนรถเมล์คันนี้ อาจมีใครบางคนที่หนีออกมาจากศูนย์การแพทย์ฯ จีวอนกล่าวว่าประธานศูนย์การแพทย์ซังร็อกเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ไม่แน่ว่าภรรยาของเขาอาจรู้อะไรบางอย่าง บางทีท่านประธานอาจเก็บรายชื่อผู้ป่วยเอาไว้ต่างหากอีกชุดหนึ่งก็ได้ เมียงฮยอนได้ฟังดังนั้นจึงชวนจีวอนไปที่บ้านประธานศูนย์การแพทย์ซังร็อก
เมียงฮยอนถามภรรยาของประธานศูนย์การแพทย์ว่า ก่อนเสียชีวิตท่านประธานทำตัวผิดแปลกไปจากเดิมหรือไม่ เธอตอบว่า ท่านประธานเงียบผิดปกติ พอกลับถึงบ้านก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน เธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มิหนำซ้ำเมื่อไม่มีกี่วันที่ผ่านมายังมีแกงค์ทวงหนี้บุกมาที่บ้านอีกด้วย จีวอนขออนุญาตเข้าไปดูในห้องทำงานของท่านประธานเพื่อค้นหารายชื่อคนไข้ แต่กลับไม่พบเบาะแสอะไร เธอจึงถามเมียงฮยอนว่าพบเบาะแสอะไรในคอมพิวเตอร์ของท่านประธานหรือไม่
เมียงฮยอนตอบว่ามีเอกสารเกี่ยวกับงานวิจัยอยู่ 2-3 ชิ้น และมีประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ด้านวิทยาศาตร์อยู่เว็บหนึ่ง หลังตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ได้สักครู่เมียงฮยอนก็พบงานวิจัยเรื่องการติดเชื้อไข้หวัดนกในมนุษย์ รวมทั้งรายงานความคืบหน้าล่าสุด ซึ่งมีการดาวน์โหลดข้อมูลครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านประธานจะเสียชีวิตเพียง 1 สัปดาห์ นั่นหมายความว่าประธานคนดังกล่าวรู้เรื่องเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดอยู่ในปัจจุบันนี้
เมียงฮยอนได้รับแจ้งข่าวร้ายจากซอนดงว่า พบผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อจำนวนหนึ่ง (มากกว่า 10 คน) เมียงฮยอนจึงสั่งให้จูยองตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ในธนาคาร, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ป้ายรถเมล์, สวนสาธารณะ และทุกที่ๆ พาหะของโรคอาจปรากฏตัว โดยบอกว่าเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในพื้นที่ของพวกตนแล้ว
เมียงฮยอนและจีวอนแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ จีวอนนั่งรถแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลนาซาน เมื่อไปถึงเธอก็พบว่าเจ้าหน้าที่กำลังลำเลียงผู้ป่วยติดเชื้อเข้าไปในหอกักกัน เธอจะวิ่งเข้าไปดูว่าผู้ป่วยที่ถูกลำเลียงลงจากรถติดเชื้อไวรัสจริงหรือไม่แต่ถูกหมอเซจินห้ามไม่ให้เข้าใกล้ผู้ป่วย เมื่อหมอเซจินเดินออกมาจากหอกักกันผู้ป่วยติดเชื้อ จีวอนก็รีบเข้าไปแนะนำตัวและสอบถามสถานการณ์ทันที หมอเซจินตอบว่าเบื้องต้นพบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 12 คน แต่ตนกำลังตรวจสอบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อถูกส่งไปที่โรงพยาบาลอื่นหรือไม่ ทันใดนั้น ก็มีเจ้าหน้าลำเลียงผู้ป่วยเข้ามาทางด้านใน หมอเซจินจึงขอตัวเข้าไปดูคนไข้
เมียงฮยอนและจีวอนแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ จีวอนนั่งรถแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลนาซาน เมื่อไปถึงเธอก็พบว่าเจ้าหน้าที่กำลังลำเลียงผู้ป่วยติดเชื้อเข้าไปในหอกักกัน เธอจะวิ่งเข้าไปดูว่าผู้ป่วยที่ถูกลำเลียงลงจากรถติดเชื้อไวรัสจริงหรือไม่แต่ถูกหมอเซจินห้ามไม่ให้เข้าใกล้ผู้ป่วย เมื่อหมอเซจินเดินออกมาจากหอกักกันผู้ป่วยติดเชื้อ จีวอนก็รีบเข้าไปแนะนำตัวและสอบถามสถานการณ์ทันที หมอเซจินตอบว่าเบื้องต้นพบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 12 คน แต่ตนกำลังตรวจสอบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อถูกส่งไปที่โรงพยาบาลอื่นหรือไม่ ทันใดนั้น ก็มีเจ้าหน้าลำเลียงผู้ป่วยเข้ามาทางด้านใน หมอเซจินจึงขอตัวเข้าไปดูคนไข้
ซูกิลและลูกทีมลงพื้นที่ตรวจสอบการแพร่ระบาดโดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งมายืนมุงดู ซูกิลมอบหน้ากากอนามัยให้ผู้ปกครองของผู้ติดเชื้อ และบอกให้ซอนดงพาพวกเขาไปที่รถ (เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส) โดยให้จดชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ด้วย เมื่อหันมาเห็นเด็กวัยรุ่นกำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพการทำงานของตน ซูกิลก็ตรงเข้าไปแย่งโทรศัพท์และลบไฟล์วิดีโอทันที เด็กคนดังกล่าวบอกว่าคนข้างๆ ก็ถ่ายเหมือนกันทำไมถึงไม่โดนลบ ซูกิลจึงเดินเข้าไปหาเด็กวัยรุ่นอีกคนหวังยึดโทรศัพท์ แต่เด็กคนนั้นกลับวิ่งหนีไป ซูกิลจึงบอกให้ซอนดงช่วยวิ่งไล่ตามเด็กคนดังกล่าวอีกแรง โดยไม่รู้ว่ามีคนบันทึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ แล้วส่งไปให้สถานีโทรทัศน์
หลังจากนั้นก็มีรายงานข่าวทางทีวีว่า... เกิดโรคระบาดขึ้นในย่านที่พักอาศัยแถบฮายังดง ส่งผลให้ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 4 คนเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล นอกจากครอบครัวนี้แล้ว ยังพบว่ามีเพื่อนบ้านจำนวนหนึ่งติดเชื้อด้วยเช่นกัน ถึงกระนั้นทางซีดีซีก็ยังไม่มีคำอธิบายใดๆ ส่งผลให้ผู้ที่อยู่อาศัยในละแวกดังกล่าวต่างพากันตื่นตระหนก... เมียงฮยอนโกรธมากที่ข่าวเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสถูกเผยแพร่ไปทั่วประเทศ เขาหันไปถามซอนดงว่าพบเชื้อไวรัสในร่างผู้เสียชีวิตหรือไม่ ซอนดงตอบว่า พบตามคาด ซูกิลจึงรู้สึกสงสัยว่าเกิดการแพร่ระบาดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อพวกตนควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของเมียงฮยอนก็ดังขึ้น เมื่อดูที่หน้าจอก็พบว่าเป็นเบอร์แปลกๆ ที่เขาไม่คุ้นเคย เมียงฮยอนยังไม่ทันได้รับสายจูยองก็เรียกให้เขาไปดูเบาะแสสำคัญ ซึ่งก็คือภาพจากกล้องวงจรปิดที่ธนาคารแห่งหนึ่งในย่านฮายังดง จีวอนจำอินชอลได้จึงบอกว่าเขาคือชายที่อยู่บนรถเมล์ ซูกิลแปลกใจที่อินชอลยังไม่เสียชีวิต ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ ที่อยู่รายรอบเขาบนรถเมล์ต่างเสียชีวิตจากการติดเชื้อทั้งหมด ซอนดงสงสัยว่าอินชอลอาจมีภูมิต้านทานเชื้อไวรัสชนิดนี้ และถ้าเขามีแอนติบอดี้ก็จะช่วยให้ผลิตวัคซีนได้ จีวอนแย้งว่าไม่ควรด่วนสรุป เพราะอินชอลอาจเป็นเพียงพาหะนำโรค* เมียงฮยอนหวังว่าอินชอลจะมีแอนติบอดี้ แต่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอินชอลก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยไขปริศนาของไวรัสชนิดนี้ พวกเขาจึงต้องรีบหาตัวอินชอลให้พบในสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่
* พาหะนำโรค คือ คนที่ไม่มีอาการของโรคติดต่อแต่ภายในร่างกายมีเชื้อโรคนั้นๆ และสามารถถ่ายทอดไปสู่ผู้อื่นได้
หลังจากนั้นก็มีรายงานข่าวทางทีวีว่า... เกิดโรคระบาดขึ้นในย่านที่พักอาศัยแถบฮายังดง ส่งผลให้ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 4 คนเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล นอกจากครอบครัวนี้แล้ว ยังพบว่ามีเพื่อนบ้านจำนวนหนึ่งติดเชื้อด้วยเช่นกัน ถึงกระนั้นทางซีดีซีก็ยังไม่มีคำอธิบายใดๆ ส่งผลให้ผู้ที่อยู่อาศัยในละแวกดังกล่าวต่างพากันตื่นตระหนก... เมียงฮยอนโกรธมากที่ข่าวเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสถูกเผยแพร่ไปทั่วประเทศ เขาหันไปถามซอนดงว่าพบเชื้อไวรัสในร่างผู้เสียชีวิตหรือไม่ ซอนดงตอบว่า พบตามคาด ซูกิลจึงรู้สึกสงสัยว่าเกิดการแพร่ระบาดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อพวกตนควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของเมียงฮยอนก็ดังขึ้น เมื่อดูที่หน้าจอก็พบว่าเป็นเบอร์แปลกๆ ที่เขาไม่คุ้นเคย เมียงฮยอนยังไม่ทันได้รับสายจูยองก็เรียกให้เขาไปดูเบาะแสสำคัญ ซึ่งก็คือภาพจากกล้องวงจรปิดที่ธนาคารแห่งหนึ่งในย่านฮายังดง จีวอนจำอินชอลได้จึงบอกว่าเขาคือชายที่อยู่บนรถเมล์ ซูกิลแปลกใจที่อินชอลยังไม่เสียชีวิต ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ ที่อยู่รายรอบเขาบนรถเมล์ต่างเสียชีวิตจากการติดเชื้อทั้งหมด ซอนดงสงสัยว่าอินชอลอาจมีภูมิต้านทานเชื้อไวรัสชนิดนี้ และถ้าเขามีแอนติบอดี้ก็จะช่วยให้ผลิตวัคซีนได้ จีวอนแย้งว่าไม่ควรด่วนสรุป เพราะอินชอลอาจเป็นเพียงพาหะนำโรค* เมียงฮยอนหวังว่าอินชอลจะมีแอนติบอดี้ แต่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอินชอลก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยไขปริศนาของไวรัสชนิดนี้ พวกเขาจึงต้องรีบหาตัวอินชอลให้พบในสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่
* พาหะนำโรค คือ คนที่ไม่มีอาการของโรคติดต่อแต่ภายในร่างกายมีเชื้อโรคนั้นๆ และสามารถถ่ายทอดไปสู่ผู้อื่นได้
ปัญหาก็คือ อินชอลไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อไวรัส ไม่รู้ว่าตนเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด ไม่รู้ว่าทุกคนที่อยู่คนรอบข้างเขาล้วนเสียชีวิตจากการติดเชื้อ เขาจึงยังคงปรากฏตัวอยู่ในที่ชุมชน และกำลังเข้าแถวรอขึ้นรถไฟใต้ดินท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก ขณะกำลังจะขึ้นรถไฟเขาเงยหน้าขึ้นไปมองกล้องวงจรปิด หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปที่เหตุการณ์ตอนที่เขาถูกลักพาตัว
ในตอนนั้นเขาถูกจับมัดมือไพล่หลังและปิดตาปิดปาก ก่อนถูกชายสองคนลากเข้าไปในศูนย์การแพทย์ซังร็อก แล้วจับขึ้นไปนอนบนเตียง หลังจากนั้นเขาก็ถูกฉีดยาบางอย่าง นับแต่นั้นเขาก็กลายเป็นคนไข้ และยังคงโดนฉีดยาอย่างต่อเนื่อง ในวันที่เกิดเพลิงไหม้และเกิดการปะทุคล้ายระเบิด ประธานศูนย์การแพทย์ซึ่งนอนอยู่บนพื้นในสภาพที่มีเลือดอาบศีรษะจับขาอินชอลเอาไว้ แล้วบอกให้เขารีบหนีไป...
อินชอลเดินเข้าไปในโบกี้รถไฟ ขณะที่เมียงฮยอนจ้องมองภาพจากกล้องวงจรปิดด้วยสายตามุ่งมั่น
อินชอลเดินเข้าไปในโบกี้รถไฟ ขณะที่เมียงฮยอนจ้องมองภาพจากกล้องวงจรปิดด้วยสายตามุ่งมั่น
* เนื้อหาโดย luvasianseries
นักแสดงนำ
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***