เนื้อหา
คีชอลเห็นอึนซูนั่งจ้องสมุดของฮวาตาด้วยท่าทางสุดตะลึง จึงถามว่าข้อความในนั้นหมายความว่าอย่างไร อึนซูเงยหน้ามองคีชอลแล้วกล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า "ช่วยบอกชั้นทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง" คีชอลได้ยินดังนั้นจึงยิ่งอยากรู้และถามย้ำคำเดิมว่าข้อความในสมุดเขียนเอาไว้ว่าอย่างไร แต่อึนซูยังคงมึนงงและรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจึงได้แต่บอกตัวเองว่านี่คือความฝัน
คีชอลเห็นอึนซูร้องไห้หลังดูข้อความในสมุดจึงลุกไปปลอบใจ และพยายามถามว่าข้อความในสมุดหมายความว่าอย่างไร อึนซูชี้ให้คีชอลดูลายเซ็นในหน้าสุดท้ายแล้วบอกว่านั่นคือชื่อของเธอ คีชอลรีบเปิดหน้าอื่นๆ ในสมุดแล้วถามอึนซูว่าตัวอักษรในนั้นหมายความว่าอะไร อึนซูมองดูตัวเลข 4 หลักและตัวอักษรภาษาอังกฤษในสมุดแล้วบอกว่าเธอเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นพิกัดอะไรสักอย่าง ไม่แน่ว่าอาจเป็นพิกัดระบุตำแหน่งประตูสวรรค์ที่จะพาเธอกลับไปยังโลกของเธอ
อึนซูจะหยิบสมุดขึ้นมาดูแต่คีชอลรีบคว้ากลับคืน โดยให้เหตุผลว่าเขายังไม่อยากให้อึนซูกลับสวรรค์ในตอนนี้ อึนซูพยายามร้องขอสมุดคืนแต่คีชอลไม่ยอมให้ อึนซูเลยปาข้าวของใส่คีชอลด้วยความโมโห แต่คีชอลกลับเห็นเป็นเรื่องสนุกและกระโดดหลบไปมา หมอหลวงชางบินและชอน อึมจาได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากในห้องจึงรีบเข้าไปดู ในตอนนั้นอึนซูกำลังจะปาถ้วยดินเผาใส่คีชอลพอดี หมอชางจึงเข้ามาห้ามเอาไว้ได้ทัน อึนซูขอร้องหมอหลวงชางบินให้ช่วยแย่งสมุดคืนมาให้่เธอ แต่หมอชางทำได้เพียงขวางอึนซูเอาไว้
อึนซูพยายามอ้อนวอนคีชอลให้คืนสมุดไดอารี่ให้เธอ คีชอลถามว่าถ้าได้สมุดแล้วเธอจะทำอะไร อึนซูแย้งว่าถึงเก็บสมุดไว้เขาก็ไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี สู้เอามาให้เธอยังดีเสียกว่าแล้วเธอจะช่วยตีความเนื้อหาทั้งหมดให้ คีชอลถามอย่างรู้ทันว่า ข้อความในสมุดเป็นแผนที่นำทางไปสู่ประตูสวรรค์ไม่ใช่หรือ อึนซูรีบบอกว่าเธอเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจจึงอยากศึกษาดูให้แน่ชัดก่อน จากนั้นก็พยายามเกลี้ยกล่อมคีชอลให้คืนสมุดให้เธอ คีชอลรู้ว่าสมุดเล่มนี้มีความสำคัญมาก เลยกลัวว่าถ้ามอบให้อึนซูแล้วเธอจะหนีกลับสวรรค์พร้อมกับสมุดเล่มนี้ เขาไม่มีวันยอมปล่อยให้สมุดและอึนซูหลุดมือ จึงบอกว่าจะกลับมาอีกครั้งหลังอึนซูใจเย็นลงแล้ว
เมื่อเห็นคีชอลถือสมุดเดินออกจากห้อง อึนซูก็ร้องบอกหมอหลวงชางบินให้ปล่อยตัวเธอ เพราะเธอจำเป็นต้องชิงสมุดเล่มนั้นกลับคืนมา หมอชางอธิบายว่า ลำพังตัวเขาเพียงคนเดียวไม่มีทางรับมือคีชอลและอึมจาได้ เขาจึงไม่สามารถชิงสมุดคืนมาให้เธอ จากนั้นก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อึนซูทรุดตัวลงนั่งพลางนึกถึงตัวอักษรในสมุดแล้วกล่าวกึ่งเพ้อด้วยน้ำตานองหน้าว่า "มันเป็นอักษรฮันกึล* ตัวหนังสือในสมุดนั่นเป็นอักษรฮันกึล... ชื่อของชั้น เป็นไปได้ยังไงกัน... เป็นไปได้ยังไง ลายเซ็นของชั้น... ชั้นเซ็นชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นเห็นสมุดเล่มนี้"
* ฮันกึล เป็นอักษรเกาหลีที่พระเจ้าเซจงมหาราช พระราชาองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โชซอน ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้แทนตัวอักษรฮันจา (อักษรจีน) - และเนื่องจากในยุคโครยอยังคงใช้ตัวอักษรฮันจา อึนซูจึงแปลกใจเมื่อพบว่าลายเซ็นในสมุดของฮวาตาเป็นอักษรฮันกึล แถมยังเป็นชื่อและลายเซ็นที่เธอใช้อยู่ในยุคปัจจุบันอีกต่างหาก (นอกจากลายเซ็นแล้ว ตัวเลขและอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมดในสมุดก็เป็นลายมือของเธอด้วย)
หลังออกจากสำนักหมอหลวงแล้ว คีชอลบังเอิญพบกับชเวยองกลางทาง เขาจึงเอ่ยปากถามชเวยองว่า "ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยไปสวรรค์" ชเวยองตอบ "ขอรับ" คีชอลจึงถามว่า "เจ้าเห็นอะไรบ้าง ดินแดนสวรรค์หน้าตาเป็นยังไง" ชเวยองกล่าว "เผอิญข้ารีบไปรีบกลับ เลยไม่ค่อยได้เห็นอะไรมากนัก" คีชอลถามย้ำ "ไม่เห็นอะไรเลยหรือ" ชเวยองยืนยัน "ขอรับ" คีชอลถามด้วยความเสียดายว่า "เจ้ามีโอกาสได้ไปสวรรค์ทั้งที แต่กลับนำตัวท่านหมอมาแค่คนเดียวอย่างนั้นรึ" ชเวยองตอบว่า "ข้าทำตามพระบัญชา ฝ่าบาทสั่งให้ข้ากลับมาพร้อมเทพแห่งการรักษาโรค"
คีชอลได้ยินแล้วรู้สึกเสียดายโอกาสจึงตำหนิชเวยองที่มัวแต่ทำตามพระบัญชา โดยไม่กอบโกยสิ่งของมีค่าจากสวรรค์ติดมือกลับมาด้วย เขาจึงกล่าวด้วยความผิดหวังว่า "ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นนักรบที่มีสมอง แต่ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าสูงเกินไป เจ้ามีโอกาสเดินทางผ่านประตูสวรรค์ และได้ไปเยือนสวรรค์ทั้งที แต่กลับทำตามพระบัญชาเพียงอย่างเดียวเนี่ยนะ ให้ตายสิ! ช่างน่าสมเพชและน่าโมโหจริงๆ คนอื่นมีตั้งเยอะแยะทำไมประตูสวรรค์ถึงต้องเปิดต่อหน้าคนโง่เขลาอย่างเจ้าด้วย มันเป็นความอับโชคของแผ่นดินข้า เป็นการสูญเสียโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับแผ่นดินของข้า ทำไมประตูสวรรค์จึงไม่เปิดตรงหน้าข้าแต่กลับเปิดทางให้เจ้า"
ชเวยองกล่าวอย่างไม่ยำเกรงว่าสวรรค์มีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น เพราะถ้าเปิดประตูให้คนอย่างคีชอลเข้าไป ทรัพย์สมบัติบนสวรรค์ก็คงหมดเกลี้ยง แต่ถ้าเปิดรับคนโง่เขลาเช่นตน อย่างมากก็จะมีแค่หมอคนหนึ่งถูกลักพาตัว คีชอลฟังแล้วได้แต่หัวเราะและเดินจากไปทันที
เมื่อเห็นชเวยองเอาแต่เดินกลับไปกลับมาและมีสีหน้าครุ่นคิด เหล่าอูดัลจิก็ได้แต่ยืนมองด้วยความสงสัย ต็อกมานอดรนทนไม่ได้เลยโบ้ยให้โทลแบเป็นคนถาม โทลแบจึงถามชเวยองว่า "ท่านจะไม่ไปหรือขอรับ" ชเวยองหยุดเดินแล้วหันไปมองหน้าโทลแบและต็อกมานด้วยใบหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็หันไปจ้องหน้าแทมาน แทมานเห็นดังนั้นก็นึกว่าชเวยองจะมอบหมายงานให้ตนเหมือนเคย แต่แล้วอยู่ๆ ชเวยองก็เรียกชื่อ "ต็อกมาน" (ทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของสมุนน้อยแทมาน) ต็อกมานจึงรีบขานรับด้วยความกระตือรือร้น
ชเวยองสั่งให้ต็อกมานคอยคุ้มกันอึนซูที่สวนสมุนไพร ต็อกมานดีใจจนออกนอกหน้าหลังได้รับมอบหมายงานสำคัญจากหัวหน้า แทมานลุกขึ้นมาประท้วงโดยบอกว่า ตนจะปกป้องอึนซูให้เอง ชเวยองแย้งว่าแทมานเคยทำอึนซูหลุดมือไปครั้งหนึ่งแล้ว (ตอนอยู่ที่หยวน) แทมานจึงรีบบอกว่า "เพราะอย่างนั้น ข้าถึง...." แทมานพูดยังไม่จบต็อกมานก็ผลักเขาออกแล้วกล่าวกับชเวยองว่า "ไม่ต้องห่วงขอรับ แม้ต้องสละชีวิต...." ชเวยองตบศีรษะต็อกมานจนหน้าคว่ำแล้วบอกว่า "ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เลิกเอาชีวิตเข้าแลก เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นแมวเก้าชีวิตหรือไง" ต็อกมานถามว่าแล้วถ้าอึนซูเกิดไม่พอใจ (ที่เห็นตนมาทำหน้าที่อารักขา) ขึ้นมาล่ะ ชเวยองยังคงย้ำคำเดิมว่า อย่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันโดยเด็ดขาด ก่อนสั่งให้ต็อกมานคอยปกป้องอึนซูอยู่ห่างๆ
เมื่อเห็นชเวยองหันหลังเดินจากไป โทลแบก็ถามคำเดิมว่า "ท่านจะไม่ไปพบนางจริงๆ หรือขอรับ" ต็อกมานรีบเสริมว่า "ท่านหมออาจกำลังรอท่านอยู่ก็ได้" ชเวยองหันไปจ้องหน้าต็อกมานแล้วเดินเข้าไปหา ต็อกมานรีบย่อตัวหลบเพราะกลัวโดนตบศีรษะอีก แต่ชเวยองแค่ต้องการบอกว่า ถ้าหากอึนซูตกอยู่ในอันตรายให้รีบพาเธอหนีทันที และอย่าคิดที่จะเอาชนะศัตรูโดยเด็ดขาด ต็อกมานยิ้มแป้นแล้วถามย้ำว่า "ข้าให้ท่านหมอขี่หลังได้ใช่ไหมขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะถูกเนื้อต้องตัวนาง...." ชเวยองได้ยินดังนั้นจึงถีบขาต็อกมานสุดแรงแล้วเดินจากไป
เมื่อเห็นชเวยองหันหลังเดินจากไป โทลแบก็ถามคำเดิมว่า "ท่านจะไม่ไปพบนางจริงๆ หรือขอรับ" ต็อกมานรีบเสริมว่า "ท่านหมออาจกำลังรอท่านอยู่ก็ได้" ชเวยองหันไปจ้องหน้าต็อกมานแล้วเดินเข้าไปหา ต็อกมานรีบย่อตัวหลบเพราะกลัวโดนตบศีรษะอีก แต่ชเวยองแค่ต้องการบอกว่า ถ้าหากอึนซูตกอยู่ในอันตรายให้รีบพาเธอหนีทันที และอย่าคิดที่จะเอาชนะศัตรูโดยเด็ดขาด ต็อกมานยิ้มแป้นแล้วถามย้ำว่า "ข้าให้ท่านหมอขี่หลังได้ใช่ไหมขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะถูกเนื้อต้องตัวนาง...." ชเวยองได้ยินดังนั้นจึงถีบขาต็อกมานสุดแรงแล้วเดินจากไป
ในเวลาเดียวกันนั้น คนไข้หนุ่มนามว่า "อี ซองเก" ก็ถูกแบกขึ้นหลังมาที่สำนักหมอหลวงในสภาพร้องครวญคราง เมื่อหมอหลวงชางบินเข้ามาดูอาการ คนรับใช้ของชายคนดังกล่าวก็บอกว่าเขาเป็นบุตรชายของเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งมณฑลซังซอง* พร้อมทั้งเล่าอาการให้ฟังว่านายน้อยของตนเริ่มปวดท้องอย่างรุนแรงตั้งแต่เมื่อวาน และยังอาเจียนตลอดทั้งคืนอีกด้วย
* มณฑลซังซองเป็นดินแดนของโครยอที่ถูกมองโกลแห่งราชวงศ์หยวนยึดไป เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ประจำอยู่ในมณฑลดังกล่าวจึงถูกครอบงำโดยราชวงศ์หยวน แต่ในภายหลังพระเจ้าคงมินสามารถยึดคืนมาได้
ขณะที่อึนซูกำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ภายในห้อง เธอสังเกตว่ามีใครบางคนทำตัวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่นอกหน้าต่างจึงลุกไปดู ต็อกมานซึ่งได้รับคำสั่งจากชเวยองให้มาคอยปกป้องอึนซูอยู่ห่างๆ เห็นอึนซูโผล่หน้าออกมาดูก็รีบก้มตัวหลบ อึนซูเลยแกล้งทำเป็นกลับเข้าไปในห้องแต่แล้วก็เปิดม่านออกมาดูอีกครั้ง คราวนี้ต็อกมานหลบไม่ทันเลยรีบรายงานตัวว่า "ข้า อูดัลจิโอ ต็อกมาน ได้รับมอบหมายจากท่านหัวหน้าให้มาคอยอารักขาท่านหมอที่นี่ขอรับ" อึนซูได้ยินดังนั้นจึงแนะนำตัวเหมือนคนไร้วิญญาณว่า "ชั้นชื่อ ยู อึนซู ยินดีที่ได้รู้จัก"
เมื่อเห็นโทกีก็ถือสมุนไพรวิ่งหน้าตาตื่นไปที่ห้องรักษาคนไข้ อึนซูก็เดินตามไปดูและถามหมอหลวงชางบินว่ามีคนไข้ฉุกเฉินมารับการรักษาหรือ เมื่อได้ยินว่าคนไข้ป่วยเป็นไข้รากสาดน้อย (ไข้ไทฟอยด์) อึนซูจึงขอตรวจดูอีกครั้งโดยใช้มือกดลงไปตามจุดต่างๆ บริเวณหน้าท้องของคนไข้ ครั้นพอกดบริเวณสะดือ อี ซองเกก็ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เธอจึงเอาหูแนบหน้าท้องของเขาพลางกล่าวว่าเขาน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ
หมอหลวงชางบินอธิบายว่า "ลักษณะชีพจรของอี ซองเกในตอนนี้เป็นแบบหงม่าย*...." อึนซูรีบบอกให้หมอชางอธิบายเป็นภาษาง่ายๆ เพราะเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด หมอชางจึงพูดใหม่ว่าชีพจรของคนไข้มีลักษณะเหมือนกระแสน้ำที่ถาโถมเข้ามา แล้วค่อยๆ ไหลผ่านไป ทั้งยังมีสัญญาณที่บ่งบอกว่าในร่างกายของเขามีหนองอีกด้วย
* ชีพจรใหญ่ (hong mai) มีลักษณะเหมือนคลื่นที่ซัดเข้ามาอย่างแรงแล้วค่อยๆ สงบลง พบได้ในผู้ที่มีไข้สูง จังหวะของชีพจรที่เต้นเร็วและแรงในตอนต้นหมายถึงร่างกายมีความร้อน (หยาง) สูงเกินไป ส่วนการแผ่วลงช้าๆ อย่างอ่อนแรง หมายถึง พลังชี่และหยินได้ถูกความร้อนทำลาย
หมอหลวงชางบินอธิบายว่า "ลักษณะชีพจรของอี ซองเกในตอนนี้เป็นแบบหงม่าย*...." อึนซูรีบบอกให้หมอชางอธิบายเป็นภาษาง่ายๆ เพราะเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด หมอชางจึงพูดใหม่ว่าชีพจรของคนไข้มีลักษณะเหมือนกระแสน้ำที่ถาโถมเข้ามา แล้วค่อยๆ ไหลผ่านไป ทั้งยังมีสัญญาณที่บ่งบอกว่าในร่างกายของเขามีหนองอีกด้วย
* ชีพจรใหญ่ (hong mai) มีลักษณะเหมือนคลื่นที่ซัดเข้ามาอย่างแรงแล้วค่อยๆ สงบลง พบได้ในผู้ที่มีไข้สูง จังหวะของชีพจรที่เต้นเร็วและแรงในตอนต้นหมายถึงร่างกายมีความร้อน (หยาง) สูงเกินไป ส่วนการแผ่วลงช้าๆ อย่างอ่อนแรง หมายถึง พลังชี่และหยินได้ถูกความร้อนทำลาย
อึนซูบอกหมอชางว่าคนไข้จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดหน้าท้อง แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าอุปกรณ์ผ่าตัดที่นำมาด้วยถูกคีชอลยึดไป เมื่อเห็นหมอชางนำสมุนไพรที่ถูกอัดเป็นแท่งมาวางรอบสะดือคนไข้แล้วจุดไฟ อึนซูก็ถามว่าเขากำลังทำอะไร หมอชางตอบว่าเขากำลังรมยา (moxibustion - เพื่อกระตุ้นให้เลือดและพลังชี่ไหลเวียนในบริเวณดังกล่าวได้สะดวก) และจะกำจัดหนองออกจากร่างกายคนไข้
เมื่อเห็นอึนซูหิ้วกระเป๋าคู่ใจออกจากสำนักหมอหลวง ต็อกมานก็รู้ได้ทันทีว่างานเข้า (ตอนที่แล้วพระเจ้าคงมินสั่งกักบริเวณอึนซูให้อยู่แต่ในสำนักหมอหลวง เพื่อปกป้องเธอจากคีชอล) เขาจึงพยายามเตือนว่า "ท่านหมอจะออกไปข้างนอกตามใจชอบไม่ได้..... ท่านจะไปไหนหรือขอรับ หากท่านหัวหน้ารู้เข้า..." อึนซูหยุดกึกแล้วหันไปขอร้องต็อกมานให้ช่วยนำทางเธอไปที่บ้านคีชอล เมื่อเห็นต็อกมานได้แต่ยืนอึ้ง อึนซูจึงลากแขนต็อกมานพลางอธิบายว่าเธอต้องรีบไปเอาอุปกรณ์ผ่าตัดมารักษาคนไข้ ไม่อย่างนั้นคนไข้ได้ตายคาเตียงแน่ๆ ต็อกมานพยายามขัดขืนและแย้งว่าตนนี่แหล่ะที่จะตายก่อนเพื่อนหากปล่อยให้อึนซูไปที่นั่น แต่อึนซูไม่สนและอ้างว่านี่เป็นเรื่องของความเป็นความตาย
ระหว่างนั่งรอคีชอลที่ห้องหนังสือ อึนซูพยายามข่มใจไม่ให้รู้สึกหวาดกลัวและซ้อมพูดทักทาย จากนั้นก็ถามต็อกมานว่า "เป็นไงบ้าง" ต็อกมานไม่รู้ว่าอึนซูหมายถึงอะไรเลยได้แต่ทำหน้างงๆ และถามว่า "อะไรเป็นยังไงหรือขอรับ" อึนซูจึงบอกว่า "ก็ชั้นนี่ไง รอยยิ้มของชั้น ชั้นแลดูผ่อนคลายมั๊ย หรือว่ายังออกอาการประหม่าอยู่" ต็อกมานทำหน้าเขินแล้วตอบหน้าตาเฉยว่า "ท่านหมอสวยมากขอรับ"
เมื่อเห็นคีชอลและลูกสมุนเดินเข้ามา อึนซูก็รีบลุกขึ้นทักทายคีชอลอย่างนอบน้อม คีชอลเดาว่าอึนซูมาพบตนเพราะร้อนใจเรื่องสมุดบันทึก แต่อึนซูปฏิเสธโดยบอกว่าเธอมาขออุปกรณ์ผ่าตัดคืน และให้เหตุผลว่าเธอเป็นหมอจึงจำเป็นต้องใช้มัน ส่วนเขาไม่จำเป็นต้องใช้ ต่อให้เก็บเอาไว้เป็นร้อยปีก็ไม่มีประโยชน์อันใด คีชอลถามอย่างเจ้าเล่ห์ว่าเธอไม่มีอะไรมาต่อรองเลยหรือ อึนซูจึงถามว่าเขายอมแพ้และไม่ต้องการหัวใจเธอแล้วใช่ไหม เธอท้าให้เขาลองดูอีกสักตั้ง เพราะถ้าหากทำสำเร็จเขาและเธอจะได้ค้นหาความหมายของข้อความในสมุดเคียงข้างกัน
คีชอลถามว่า "เคียงข้างกันงั้นรึ แล้วข้าจะแน่ใจได้ยังไง" อึนซูรู้ว่าคีชอลอยากไปสวรรค์จึงบอกว่า หากพิกัดที่ระบุไว้ในสมุดถูกต้อง เธอและเขาจะได้ไปสวรรค์ด้วยกัน หลังพูดจบอึนซูก็แบมือขออุปกรณ์ผ่าตัดคืน คีชอลจ้องมองมืออันสั่นเทาของอึนซูแล้วกล่าวว่า "อย่ากลัวข้าเลย เวลานี้ท่านมีความสำคัญต่อข้ามากกว่าแผ่นดินโครยอเสียอีก ถึงแม้วันพรุ่งนี้จะยังเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่นี่คือความจริงในตอนนี้วันนี้ ดังนั้น ท่านจงรักษาตัวให้ดี แล้วข้าจะนำตัวท่านกลับมาที่นี่อีกครั้ง ขอท่านจงรออีกสักหน่อย"
ทันทีที่ชเวยองมาเข้าเฝ้า พระเจ้าคงมินก็เปิดดูรายชื่อเหล่าบัณฑิตแล้วถามความเห็นชเวยองว่า อิกเจ...อี เจฮยอน* เหมาะที่จะรับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายหรือไม่ ชเวยองตอบว่าเหมาะสม แต่อี เจฮยอนจะยอมมาเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อรับการแต่งตั้งหรือไม่เขาเองก็ไม่แน่ใจ เพราะการมาเข้าเฝ้าพระองค์เท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจของคีชอล พระเจ้าคงมินจึงตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่พระองค์จะมอบให้อี เจฮยอน ก็ไม่ใช่ตำแหน่งในราชสำนักแต่เป็นความตาย ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังจรดปลายพู่กันเพื่อทำเครื่องหมายไว้เหนือชื่อของอี เจฮยอน หลังจากนั้น พระเจ้าคงมินก็ถามชเวยองว่ารายชื่อถัดไปคือใคร ชเวยองตอบว่า โมกึนหรืออีเส็ก* เป็นศิษย์เอกของอี เจฮยอน หากพระองค์สามารถดึงใครคนใดคนหนึ่งมาเป็นพวกได้ อีกคนก็จะตามมาเอง
* อี เจฮยอน (นามปากกาของเขาคือ "อิกเจ") เป็นทั้งขุนนาง บัณฑิต นักปราชญ์ (นับถือลัทธิขงจื้อแนวใหม่) นักเขียน นักกวี และยังเป็นบิดาของอี ยองบี ซึ่งเป็นหนึ่งในพระสนมของพระเจ้าคงมินอีกด้วย ส่วนอีเส็ก (นามปากกาของเขาคือ "โมกึน") เป็นนักเขียนและนักกวี ที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ปรัชญาขงจื๊อและหลักคำสอนจูซื่อ - แม้ทั้งสองคนนี้จะมีตัวตนจริงและเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในละครตอนที่ 10 นี้ ถูกดัดแปลงขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
พระเจ้าคงมินตรัสถามชเวยองว่าเขาได้รายชื่อมาจากพวกซูริบังหรือ ชเวยองยอมรับว่าใช่และบอกว่าพวกซูริบังเร่ขายยาเพื่อเป็นการบังหน้า แต่อาชีพที่แท้จริงคือการขายข้อมูล และหัวหน้ากลุ่มซูริบัง* ก็เคยเป็นสาวกอาจารย์ของตน พระเจ้าคงมินถามต่อว่าพระองค์จะดึงกลุ่มซูริบังมาเป็นพวกได้หรือไม่ เมื่อเห็นชเวยองก้มหน้านิ่งเหมือนกำลังชั่งใจ พระเจ้าคงมินก็ตรัสถามว่ามีอะไร ชเวยองจึงทูลตามตรงว่า "พวกเขาหาว่ากระหม่อมเป็นสุนัขรับใช้ของ...พระราชาที่ไม่ควรค่าแก่การปกป้องพะยะค่ะ"
* ชเวยองเรียกหัวหน้ากลุ่มซูริบังว่า "ซาซุก" หรือท่านลุง เพราะนับถือว่าเป็นลุงของตน
* ชเวยองเรียกหัวหน้ากลุ่มซูริบังว่า "ซาซุก" หรือท่านลุง เพราะนับถือว่าเป็นลุงของตน
หลังจากนั้นชเวยองก็เล่าเหตุการณ์ตอนที่เขาไปหากลุ่มซูริบังครั้งล่าสุดให้พระเจ้าคงมินฟัง...
วันนั้นหัวหน้ากลุ่มซูริบังพยายามให้ข้อคิด และเตือนสติชเวยองระหว่างที่เขากำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย โดยบอกว่า "ถ้ายังเห็นข้าเป็นลุงของเจ้าอยู่... อาจารย์ของเจ้า...มูน ชีฮู เจ้าลืมแล้วหรือว่าใครเป็นคนลงมือสังหารเขา" เมื่อชเวยองตอบว่าตนยังจำได้อย่างแม่นยำ หัวหน้ากลุ่มซูริบังก็กล่าวต่อว่า "หมามันภักดีกับผู้เป็นนาย ด้วยความที่อยากกินเนื้อหมา นายของมันจึงต้มน้ำแล้วลงมือทุบตีมัน...ทำไม?" ท่านป้าซูริบังชิงตอบว่า เพราะทำเช่นนั้นแล้วเนื้อหมามันจะนุ่ม หัวหน้ากลุ่มซูริบังจึงกล่าวต่อว่า "แต่พอสายจูงขาดหมามันก็วิ่งหนีไป...ทำไม?" ท่านป้าซูริบังชิงตอบอีกว่า เพราะหมามันเจ็บ หัวหน้ากลุ่มซูริบังกล่าวต่อ "ถึงอย่างนั้นพอผู้เป็นนายเรียกมัน มันก็รีบวิ่งกลับมาหาและกระดิกหางดิ๊กๆ ...ทำไม?" ท่านป้าซูริบังยิ้มแล้วตอบว่า "เพราะมันเป็นหมาไง"
หัวหน้ากลุ่มซูริบังกล่าวว่า "เพราะมันเป็นหมา! และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้อาจารย์ของเจ้าตาย" ชเวยองนึกถึงตอนที่หัวหน้าและอาจารย์ของตนถูกพระเจ้าชุงฮเย (พระเชษฐาผู้ล่วงลับของพระเจ้าคงมิน) แทงต่อหน้าต่อตา จากนั้นก็แย้งว่า "ฝ่าบาทไม่ใช่พระราชาแบบนั้น" หัวหน้ากลุ่มซูริบังได้ยินดังนั้นก็ของขึ้นจึงโวยวายว่า "จะองค์นี้หรือองค์ไหนก็เหมือนกันหมด ถึงยังไงพระราชาก็คือพระราชา นี่เจ้าพูดออกมาได้ไงว่าฝ่าบาทไม่ใช่พระราชาแบบนั้น" ท่านป้าซูริบังเดินไปหาชเวยองพลางบ่นว่า "ข้าอุตส่าห์หาอาหารร้อนๆ ให้เจ้ากิน แต่เจ้ากลับพูดพล่อยๆ ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว" ชเวยองถึงกับอึ้งเมื่อท่านป้าซูริบังแย่งช้อนในมือและยกถ้วยอาหารออกไป มิหนำซ้ำ เขายังถูกหัวหน้ากลุ่มซูริบังขับไล่แล้วบอกว่าอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ชเวยองพยายามทักท้วง "ท่านลุง!!" หัวหน้ากลุ่มซูริบังได้ยินดังนั้นจึงบอกแบบงอนๆ ว่าต่อไปนี้อย่ามาเรียกตนว่าท่านลุงอีก
พระเจ้าคงมินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ และตรัสขณะทำเครื่องหมายบนรายชื่อว่า "ทั้งผู้ที่เป็นอาจารย์ ลูกศิษย์ และอันธพาลข้างถนน ข้าจะออกไปพบกับพวกเขาทุกคน" ชเวยองทูลถามว่าเมื่อพบทุกคนแล้วพระองค์จะทำอย่างไรต่อ พระเจ้าคงมินตรัสว่า พระองค์จะเอาอย่างคีชอลที่ชอบครอบครองหัวใจคน โดยจะพยายามเอาชนะใจประชาชนให้ได้ พูดจบพระองค์ก็ยื่นรายชื่อให้ชเวยอง ชเวยองได้ยินดังนั้นก็รู้สึกชื่นชม เขาจึงเอื้อมมือไปรับรายชื่อพร้อมกับรอยยิ้ม พระเจ้าคงมินตรัสถามว่า "นั่นเจ้ายิ้มเยาะข้าอยู่เหรอ" ชเวยองจึงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า "แค่ยิ้มธรรมดาพะย่ะค่ะ" จากนั้นก็ทูลลา
วันนั้นหัวหน้ากลุ่มซูริบังพยายามให้ข้อคิด และเตือนสติชเวยองระหว่างที่เขากำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย โดยบอกว่า "ถ้ายังเห็นข้าเป็นลุงของเจ้าอยู่... อาจารย์ของเจ้า...มูน ชีฮู เจ้าลืมแล้วหรือว่าใครเป็นคนลงมือสังหารเขา" เมื่อชเวยองตอบว่าตนยังจำได้อย่างแม่นยำ หัวหน้ากลุ่มซูริบังก็กล่าวต่อว่า "หมามันภักดีกับผู้เป็นนาย ด้วยความที่อยากกินเนื้อหมา นายของมันจึงต้มน้ำแล้วลงมือทุบตีมัน...ทำไม?" ท่านป้าซูริบังชิงตอบว่า เพราะทำเช่นนั้นแล้วเนื้อหมามันจะนุ่ม หัวหน้ากลุ่มซูริบังจึงกล่าวต่อว่า "แต่พอสายจูงขาดหมามันก็วิ่งหนีไป...ทำไม?" ท่านป้าซูริบังชิงตอบอีกว่า เพราะหมามันเจ็บ หัวหน้ากลุ่มซูริบังกล่าวต่อ "ถึงอย่างนั้นพอผู้เป็นนายเรียกมัน มันก็รีบวิ่งกลับมาหาและกระดิกหางดิ๊กๆ ...ทำไม?" ท่านป้าซูริบังยิ้มแล้วตอบว่า "เพราะมันเป็นหมาไง"
หัวหน้ากลุ่มซูริบังกล่าวว่า "เพราะมันเป็นหมา! และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้อาจารย์ของเจ้าตาย" ชเวยองนึกถึงตอนที่หัวหน้าและอาจารย์ของตนถูกพระเจ้าชุงฮเย (พระเชษฐาผู้ล่วงลับของพระเจ้าคงมิน) แทงต่อหน้าต่อตา จากนั้นก็แย้งว่า "ฝ่าบาทไม่ใช่พระราชาแบบนั้น" หัวหน้ากลุ่มซูริบังได้ยินดังนั้นก็ของขึ้นจึงโวยวายว่า "จะองค์นี้หรือองค์ไหนก็เหมือนกันหมด ถึงยังไงพระราชาก็คือพระราชา นี่เจ้าพูดออกมาได้ไงว่าฝ่าบาทไม่ใช่พระราชาแบบนั้น" ท่านป้าซูริบังเดินไปหาชเวยองพลางบ่นว่า "ข้าอุตส่าห์หาอาหารร้อนๆ ให้เจ้ากิน แต่เจ้ากลับพูดพล่อยๆ ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว" ชเวยองถึงกับอึ้งเมื่อท่านป้าซูริบังแย่งช้อนในมือและยกถ้วยอาหารออกไป มิหนำซ้ำ เขายังถูกหัวหน้ากลุ่มซูริบังขับไล่แล้วบอกว่าอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ชเวยองพยายามทักท้วง "ท่านลุง!!" หัวหน้ากลุ่มซูริบังได้ยินดังนั้นจึงบอกแบบงอนๆ ว่าต่อไปนี้อย่ามาเรียกตนว่าท่านลุงอีก
พระเจ้าคงมินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ และตรัสขณะทำเครื่องหมายบนรายชื่อว่า "ทั้งผู้ที่เป็นอาจารย์ ลูกศิษย์ และอันธพาลข้างถนน ข้าจะออกไปพบกับพวกเขาทุกคน" ชเวยองทูลถามว่าเมื่อพบทุกคนแล้วพระองค์จะทำอย่างไรต่อ พระเจ้าคงมินตรัสว่า พระองค์จะเอาอย่างคีชอลที่ชอบครอบครองหัวใจคน โดยจะพยายามเอาชนะใจประชาชนให้ได้ พูดจบพระองค์ก็ยื่นรายชื่อให้ชเวยอง ชเวยองได้ยินดังนั้นก็รู้สึกชื่นชม เขาจึงเอื้อมมือไปรับรายชื่อพร้อมกับรอยยิ้ม พระเจ้าคงมินตรัสถามว่า "นั่นเจ้ายิ้มเยาะข้าอยู่เหรอ" ชเวยองจึงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า "แค่ยิ้มธรรมดาพะย่ะค่ะ" จากนั้นก็ทูลลา
ทันทีที่ชเวยองเดินออกมาจากตำหนักพระเจ้าคงมิน แทมานซึ่งยืนรออยู่ทางด้านนอกก็รีบเข้าไปรายงานว่าอึนซูแอบออกไปที่บ้านคีชอล... ชเวยองชะงักแล้วหันกลับมาถามอย่างคาดคั้น "ว่าไงนะ" แทมานจึงรีบรายงานต่อว่า ...แต่ตอนนี้กลับมาแล้วและกำลังใช้อุปกรณ์ที่นำมาจากบ้านคีชอลรักษาใครบางคนอยู่ ชเวยองได้ยินแล้วก็ทั้งอ่อนใจและโล่งใจ เขาตัดสินใจว่าจะไปพูดกับอึนซูให้รู้เรื่อง จึงโยนรายชื่อเหล่าบัณฑิตให้แทมานแล้วสั่งให้เขานำไปให้ชุงซอก โดยฝากบอกชุงซอกว่าให้สืบหาที่อยู่ของคนที่ถูกทำเครื่องหมายเอาไว้
ขณะกำลังผ่าตัดไส้ติ่งให้อี ซองเก หลอดไฟแอลอีดีบนแว่นขยายสำหรับผ่าตัดเกิดแบตหมดทำให้ไฟดับลง พอผ่าตัดเสร็จอึนซูก็กลับมาที่ห้องพักแล้วนำอุปกรณ์ดังกล่าวมาตรวจสอบดู โดยมีต็อกมานคอยยืนอารักขาอยู่ห่างๆ ชเวยองเดินเข้ามาในห้องของอึนซูแล้วกล่าวว่า "ข้าได้ยินมาว่าท่านออกไปหาใต้เท้าต็อกซอง (คีชอล) ที่บ้าน" อึนซูพูดโดยไม่มองหน้าชเวยองว่า "แล้วไง" ชเวยองจึงถามว่า "ท่านรู้ไหมว่าฝ่าบาทต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าจะนำตัวท่านออกมาจากที่นั่นได้...." อึนซูแทรกขึ้นว่า "นั่นเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ ชั้นบอกนายแล้วว่าชั้นอยู่บ้านหมอนั่นได้ นายไม่จำเป็นต้องก่อกบฎหรือทำอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งใส่ความคนอื่นด้วย"
ชเวยองได้ยินแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจจึงหันหลังแล้วเดินออกจากห้อง อึนซูรีบกล่าวขอโทษชเวยองเรื่ององค์ชายคยองชาง เธอรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นหมอแต่กลับลังเลและไม่ยอมทำอะไร ทำให้ชเวยองต้องปลิดชีพองค์ชายด้วยมือของเขาเอง หลังจากนั้นเธอก็ขอโทษที่เคยแทงเขาหน้าประตูสวรรค์ และขอบคุณที่เขายังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังบอกด้วยว่าที่ผ่านมาเธอทำตัวไม่ดีมาโดยตลอด แต่ชเวยองก็ยังปกป้องเธอตลอดเวลา เธอจึงรู้สึกซาบซึ้งและขอขอบคุณด้วยความจริงใจ
ชเวยองรู้สึกได้ว่าอึนซูพูดกับตนอย่างตัดรอน จึงเดินกลับมาหาแล้วถามอึนซูว่าทำไมอยู่ๆ ถึงพูดแบบนี้ อึนซูตอบว่าต่อไปนี้เธอจะจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเอง ชเวยองถามอย่างคาดคั้นว่า จัดการเรื่องอะไร อึนซูตอบด้วยความมั่นใจว่า เธอมีไม้เด็ดที่จะนำมาใช้ต่อรองกับคีชอล เธอลองทดสอบกับเขาดูแล้ววันนี้และดูเหมือนว่าไอเดียนี้จะใช้ได้ผล เพราะเธอมีบางอย่างที่คีชอลต้องการ ชเวยองฟังแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ อึนซูยังคงกล่าวต่อไปว่า ถ้าหากเธอต่อรองดีๆ ก็อาจได้สมุดบันทึกกลับคืนมา
ชเวยองถามว่าสิ่งที่คีชอลต้องการคืออะไรแตอึนซูไม่ยอมบอก ชเวยองจึงถามเสียงเข้มว่า มันคืออะไรกันแน่ อึนซูรู้ว่าชเวยองไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ จึงตอบว่า เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์...เธอรู้เรื่องราวในอดีต ส่วนคีชอลอยากรู้อนาคต ชเวยองถามด้วยความวิตกว่า เธอจะยอมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้คนอย่างคีชอลฟังจริงหรือ อึนซูตอบว่าเธอจะบอกในสิ่งที่คีชอลอยากได้ยิน เพราะถึงยังไงคีชอลก็ไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่าเรื่องไหนจริงหรือเท็จ (อึนซูไม่รู้ตัวว่าเธอโกหกไม่เก่ง)
ชเวยองถอนใจเป็นครั้งที่ห้าร้อยแล้วเตือนอึนซูว่า เธอยังไม่รู้ว่าคีชอลเป็นคนแบบไหน อึนซูจึงรีบตัดบทว่า "ที่ชั้นอยากบอกนายก็คือ ต่อไปนี้นายไม่ต้องคอยเป็นกังวลเรื่องชั้นอีกต่อไป ชั้นจะหาทางกลับโลกของชั้นด้วยตัวเอง ชั้นก็แค่อยากบอกลานายก่อนเผื่อว่าชั้นจะไม่ได้เจอนายอีก ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา และขอโทษสำหรับทุกสิ่ง แล้วก็....ถ้าเป็นไปได้อย่าต่อสู้ อย่าเจ็บตัวอีก เมื่อถึงเวลากินก็ต้องกิน" อึนซูก้มศีรษะคำนับชเวยองจากใจ ชเวยองได้แต่นั่งน้ำตาคลอและเดินออกจากห้องไปเงียบๆ โดยไม่รอให้อึนซูเงยศีรษะขึ้น หลังออกจากห้องอึนซูแล้ว ชเวยองก็คว้าคอต็อกมานแล้วขู่ว่า ถ้าปล่อยให้อึนซูออกจากวังอีกครั้ง เขาจะไม่ไว้ชีวิตต็อกมาน
ขณะเดินผ่านห้องยา ชเวยองรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนซุ่มอยู่บนหลังคาของสำนักหมอหลวง เขาจึงหยุดเดินและเงยหน้ามองด้วยสงสัย ชอน อึมจาซึ่งอยู่บนหลังคาจับความเคลื่อนไหวชเวยองได้ จึงค่อยๆ นั่งลงแล้วเอามือบังลมหายใจไว้
แทมานพยายามทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วงด้วยการยื่นรายชื่อให้ชุงซอก แล้วบอกให้เขาหาที่อยู่ของคนที่ถูกกาเครื่องหมายเอาไว้ ในตอนนั้นชุงซอกกำลังตามหาโทลแบด้วยความร้อนใจ แม้จะรับรายชื่อมาถือไว้แต่เขามีเรื่องบางอย่างที่สำคัญกว่ามารบกวนจิตใจ ครั้นพอเจอโทลแบเขาก็รีบตำหนิว่าการเฝ้าระวังในวันนี้มีช่องโหว่หลายจุดด้วยกัน เมื่อโทลแบรับปากว่าจะไปตรวจสอบดู ชุงซอกก็หันหลังเดินกลับไปและชนเข้ากับนางในอารักขาที่ถูกคีชอลส่งมาสอดแนมที่ตำหนักพระมเหสีอย่างจัง ชุงซอกไม่รู้ตัวเลยว่าในตอนนั้นรายชื่อที่ตนเก็บไว้ในเสื้อเกราะถูกนางในคนดังกล่าวขโมยไปแล้ว โทลแบเห็นชุงซอกตกใจจนทำตัวไม่ถูกเลยแอบทำตากรุ้มกริ่ม เพราะอยู่ๆ รองหัวหน้าของตนได้กอดสาว คงมีแต่แทมานที่มองตามนางในคนดังกล่าวด้วยความสงสัย
ยางซานำรายชื่อมาให้คีชอลดูแล้วบอกว่าคนเหล่านี้คือผู้ที่พระเจ้าคงมินต้องการได้มาเป็นพวก หลังดูรายชื่อแล้วคีชอลก็ถามอึมจาว่า "ท่านหมอเป็นคนพูดเองใช่ไหมว่านางจะแกล้งทำเป็นให้ข้อมูลข้า และจะแต่งเรื่องหลอกๆ มาบอกเฉพาะสิ่งที่ข้าต้องการได้ยิน" อึมจาจึงรายงานต่อโดยบอกว่า "นางยังพูดด้วยว่าท่านจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนโกหก" คีชอลได้แต่หัวเราะในลำคอด้วยความอึ้ง ฮวา ซูอินสงสัยว่าอึนซูอาจไม่ได้มาจากสวรรค์จริงๆ จึงบอกว่าคำร่ำลือทั้งหมดอาจเป็นเรื่องที่ฝ่าบาท พระมเหสี และชเวยอง รวมหัวกันกุขึ้น
คีชอลถามอึมจาว่า คนไข้ที่อึนซูรักษาอาการเป็นอย่างไร อึมจายืนยันว่าอึนซูมีความสามารถในการรักษาขั้นเทพ เธอใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถรักษาคนไข้ให้รอดพ้นจากความตายได้ ถึงกระนั้นซูอินก็ยังแนะให้คีชอลล้มเลิกความคิดที่จะครอบครองหัวใจอึนซูก่อนที่จะถูกหัวเราะเยาะ ทั้งยังบอกด้วยว่าประตูสวรรค์ และดินแห่งแห่งสวรรค์ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ยางซาถามคีชอลว่าจะทำยังไงกับรายชื่อเหล่านี้ดี คีชอลตอบว่าหากตนถูกปั่นหัวเล่นจริงๆ แล้วล่ะก็ คนเหล่านั้นจะต้องชดใช้ทีละคน คีชอลสั่งอีมจาให้ตามสืบเรื่องในวังต่อไป เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ เพราะลึกๆ แล้วเขายังคงเชื่อว่าอึนซูคือผู้ที่มาจากสวรรค์จริงๆ
ชเวยองนัดพบชเวซังกุงเพื่อปรึกษาหารือเรื่องอึนซู ทันทีที่มาถึงชเวซังกุงก็เปิดฉากถามทันทีว่าอึนซูเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตจริงหรือ เมื่อชเวยองยืนยันว่าอึนซูบอกตนเช่นนั้น ชเวซังกุงก็เข้าใจว่าอึนซูเป็นแม่หมอ ชเวยองรีบอธิบายว่ามันไม่ใช่เรื่องของการทำนาย แต่มีการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้บนสวรรค์ จากนั้นก็ถามชเวซังกุงว่า หากคีชอลเชื่อว่าอึนซูคือผู้หยั่งรู้อนาคตจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น ชเวซังกุงตอบว่าคีชอลก็เหมือนเด็กที่มักจะเห่อของเล่นชิ้นใหม่ ถ้าอึนซูเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของคีชอล เขาก็จะเล่นกับเธอก่อนในตอนแรก ชเวยองสันนิษฐานว่าการที่คีชอลไม่ควบคุมตัวอึนซูเอาไว้ แถมยังปล่อยให้เธอนำอุปกรณ์มารักษาคนไข้แต่โดยดี แสดงว่าเขายอมรับนับถือและไม่คิดที่จะทำร้ายอึนซู
ชเวซังกุงแย้งว่า ของเล่นคือสิ่งที่คนเราเบื่อเมื่อไหร่ก็จะโยนมันทิ้ง หักเล่นเป็นท่อนๆ หรือไม่ก็ทำลายมันเสียให้สิ้นซาก เมื่อถูกหลานชายตำหนิว่าเธอพูดเวอร์เกินไป ชเวซังกุงก็เล่าเรื่องจิตรกรนามว่ากึมซอนให้ชเวยองฟัง โดยบอกว่าฝีมือวาดภาพของจิตรกรคนดังกล่าวเป็นที่เลื่องลือไปถึงแผ่นดินหยวนว่ามีความสวยงามสมจริง คีชอลชื่นชอบผลงานของกึมซอนจึงทุ่มเททรัพย์สินเงินทองให้มากมาย แต่กึมซอนกลับทำให้คีชอลโกรธ เพราะเขาดันวาดภาพงูแทนภาพใบหน้าของคีชอล คืนนั้น เขาถูกคีชอลตัดมือทั้งสองข้างและโดนควักลูกตาออก ก่อนถูกนำตัวไปทิ้งบนภูเขาโดยที่ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือ
ชเวยองถามด้วยความหนักใจว่า แล้วของเล่นควรทำอย่างไรจึงจะรอดพ้นจากเงื้อมมือคีชอล ชเวซังกุงตอบว่ามีทางเดียวคือ ต้องเชื่อฟัง ทำตามคำสั่ง และให้ในสิ่งที่เขาต้องการ ชเวยองแย้งว่าเป็นไปไม่ได้เพราะอึนซูไม่มีวันฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเพียงเพื่อเอาใจคนอื่น ชเวซังกุงเห็นด้วยในเรื่องนี้ ชเวยองรู้สึกเป็นห่วงอึนซูจึงปรึกษาชเวซังกุงว่า ควรปล่อยให้อึนซูหนีไปไหม ชเวซังกุงแย้งว่าอึนซูไม่มีทางหนีพ้น เพราะคีชอลไม่ได้มีอิทธิพลแค่ในโครยอแต่ยังแผ่ขยายไปถึงแผ่นดินหยวนด้วย เธอถามชเวยองอย่างรู้ทันว่า "ทำไม เจ้าคิดที่จะหนีไปกับนางงั้นรึ เจ้ามีภาระหน้าที่ๆ ต้องรับผิดชอบมากมาย จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจากไปได้รึ" ชเวยองฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจ
ชเวยองถามด้วยความหนักใจว่า แล้วของเล่นควรทำอย่างไรจึงจะรอดพ้นจากเงื้อมมือคีชอล ชเวซังกุงตอบว่ามีทางเดียวคือ ต้องเชื่อฟัง ทำตามคำสั่ง และให้ในสิ่งที่เขาต้องการ ชเวยองแย้งว่าเป็นไปไม่ได้เพราะอึนซูไม่มีวันฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเพียงเพื่อเอาใจคนอื่น ชเวซังกุงเห็นด้วยในเรื่องนี้ ชเวยองรู้สึกเป็นห่วงอึนซูจึงปรึกษาชเวซังกุงว่า ควรปล่อยให้อึนซูหนีไปไหม ชเวซังกุงแย้งว่าอึนซูไม่มีทางหนีพ้น เพราะคีชอลไม่ได้มีอิทธิพลแค่ในโครยอแต่ยังแผ่ขยายไปถึงแผ่นดินหยวนด้วย เธอถามชเวยองอย่างรู้ทันว่า "ทำไม เจ้าคิดที่จะหนีไปกับนางงั้นรึ เจ้ามีภาระหน้าที่ๆ ต้องรับผิดชอบมากมาย จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจากไปได้รึ" ชเวยองฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจ
ขณะที่จีโฮ (หนึ่งในสมาชิกซูริบัง) กำลังเดินเร่ขายยาในตลาด เขาก็พบว่าเหล่าอูดัลจิกำลังออกกวาดล้างและทำการจับกุมสมาชิกซูริบังที่อยู่ในคราบคนขายยาจึงหลบไปแอบดูอยู่ห่างๆ หนึ่งในผู้ที่ถูกจับกุมโอดครวญกับโทลแบว่า ตนเป็นแค่คนขายยา ทำไมถึงมาทำกับตนเช่นนี้ โทลแบตอบตามตรงว่าพวกตนก็ไม่รู้เหมือนกัน... นอกจากเหล่าพ่อค้าที่เดินเร่ขายยาแล้ว สมาชิกซูริบังที่กำลังโชว์ความสามารถเพื่อเรียกลูกค้าอยู่ในตลาดก็ถูกเหล่าอูดัลจิทำการกวาดล้างและจับกุมเช่นกัน (แต่ชายชุดขาวและหนุ่มนักแม่นธนูต่างพากันหนีรอดไปได้)
ในเวลาเดียวกันนั้น ชเวยองก็กำลังนั่งดื่มเหล้าอย่างใจเย็นโดยมีแทมานคอยคุ้มกันอยู่ไม่ห่าง ชเวยองบอกให้แทมานเลิกเป็นกังวล (แทมานรู้สึกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย) และถามว่าเขายังดื่มเหล้าไม่ได้อีกหรือ แทมานตอบโดยที่ยังคงสอดส่ายสายตาไปมาว่า หากตนดื่มเหล้าเมื่อไหร่ก็จะมีคนตาย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ตนแต่เป็นคนที่อยู่รอบข้าง ชเวยองถามว่าดื่มแค่แก้วสองแก้วก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยหรือ แทมานตอบอย่างเป็นกังวลว่า "ไม่ได้เลยขอรับ ว่าแต่....." ชเวยองแทรกขึ้นว่า "ข้ารู้"
ระหว่างนั้นแทมานเห็นหนุ่มนักธนูแห่งซูริบังเล็งธนูมาที่ชเวยองจึงตั้งท่าเตรียมพร้อม เมื่อหนุ่มน้อยคนดังกล่าวยิงธนูข่มขู่ แทมานก็ลุกขึ้นแต่ถูกชเวยองกดไหล่ให้นั่งลง พอเห็นจีโฮควงหอกแทมานก็ลุกขึ้นอีกครั้งทำให้โดนชเวยองตีหัวเพื่อเป็นการตักเตือน ก่อนถูกกดให้นั่งลงอีกครั้ง หลังจากนั้น ชายชุดขาวก็เข้ามาคุมเชิงทางด้านหลังพร้อมทั้งชักดาบออกมาในท่าเตรียมพร้อม
หัวหน้ากลุ่มซูริบัง (และท่านป้า) เดินมานั่งตรงหน้าชเวยอง พลางกล่าวว่า "ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้ามันเกินเยียวยา แต่ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นสุนัขรับใช้ที่ต่ำช้าสิ้นดี" ชเวยองได้แต่ยิ้มทัก "ท่านลุง" ป้าซูริบังถามหัวหน้ากลุ่ม "สุนัขมันทำผิดอะไร ทำไมท่านถึงเรียกเขาว่าสุนัขรับใช้ที่ต่ำช้า" หัวหน้ากลุ่มถามกลับว่าแล้วจะให้ตนเรียกชเวยองว่าอย่างไร ป้าซูริบังชำเลืองมองชเวยองก่อนตอบว่า "ขี้ข้า" หัวหน้ากลุ่มซูริบังจึงถามชเวยองว่า "พอเป็นขี้ข้าฝ่าบาทแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกใช่ไหม เจ้าได้เงินค่าจ้างในการทรยศลุงและพี่น้องเท่าไหร่" ป้าซูริบังแย้งว่า "เขาไม่รับเงินค่าจ้างหรอก ชเวยอง...ไอ้หมอนี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอาเงินไปใช้ที่ไหน" หัวหน้ากลุ่มจึงถามกลับว่า แล้วไอ้หมอนี่จะได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทนสำหรับการทำตัวเป็นหมาลอบกัด"
ป้าซูริบังหันมาถามชเวยองซึ่งได้แต่นั่งดื่มเหล้าเงียบๆ ว่า ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้เขานำกำลังมาไล่จับและทุบตีเด็กๆ ของพวกตนใช่ไหม เมื่อเห็นว่าท่านป้าเริ่มออกอาการโมโห หัวหน้ากลุ่มจึงเตือนให้เธอใจเย็นๆ แล้วถามชเวยองด้วยคำถามเดียวกันอีกครั้งว่าเขาทำตามพระบัญชาใช่ไหม ชเวยองมองหัวหน้ากลุ่มซูริบังแล้วตอบสั้นๆ ว่า "ถามฝ่าบาทเองสิ" พูดจบชเวยองก็ลุกขึ้น เหล่าอูดัลจิต่างแยกย้ายกันไปควบคุมตัวสมาชิกซูริบังที่ถืออาวุธยืนคุมเชิงอยู่โดยรอบ ไม่นานก็มีชายสวมเสื้อคลุมสีดำเดินมานั่งที่โต๊ะ
เมื่อรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือพระราชา ท่านป้าก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่หัวหน้ากลุ่มยังคงนั่งอึ้ง เมื่อเห็นพระเจ้าคงมินนั่งจ้องหน้า หัวหน้ากลุ่มซูริบังก็ลงไปนั่งคุกเข่าแบบงงๆ พระเจ้าคงมินตรัสถามว่า ทั้งคู่คือสองพี่น้องที่ก่อตั้ง "คณะเร่ขายยามันโบ" เพื่อเป็นการบังหน้า แต่ความจริงแล้วเป็นหน่วยสอดแนมประจำโครยอใช่ไหม หัวหน้ากลุ่มซูริบังพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี พระเจ้าคงมินทรงตอบคำถามที่ทั้งคู่เอ่ยถามชเวยองก่อนหน้านี้ว่า "ถึงข้าเรียกพวกเจ้าให้มาพบ พวกเจ้าก็คงไม่ยอมมา ข้ายังได้ยินมาว่าหากข้าออกตามหาพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะยิ่งหายเข้ากลีบเมฆ ข้าเลยจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์เพื่อล่อให้พวกเจ้าออกมาที่นี่" พระเจ้าคงมินหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดูแล้วถามหัวหน้ากลุ่มซูริบังว่า "เจ้าจะยอมรับเหล้าจากข้าไหม" หัวหน้ากลุ่มจึงเงยหน้าขึ้นแล้วค่อยๆ ยื่นแก้วให้พระเจ้าคงมิน
อีกด้านหนึ่ง อึมจาก็กำลังใช้วิชาหูทิพย์แอบฟังอึนซูคุยกับหมอหลวงชางบิน อึนซูหยิบยกเหตุการณ์ทางประวัติศาตร์มาเล่าเป็นตัวอย่างให้หมอชางฟัง โดยบอกว่าบนสวรรค์มีการบันทึกเอาไว้ว่า อีกหน่อยโครยอจะกลายเป็นประเทศเกาหลี และคนทั้งโลกจะเรียกผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ว่าเป็นชาวเกาหลี เธอถามหมอชางว่าเรื่องนี้น่าสนใจไหม หมอชางส่ายหน้าพลางบอกว่าไม่น่าสนใจเลยสักนิด อึนซูเลยคิดไม่ตกว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้คีชอลฟังดี เธอเองก็ไม่ค่อยเก่งด้านประวัติศาสตร์ ครั้นจะเล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ ไฟฟ้า เทคโนโลยี อาวุธ ระบบประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย สุขอนามัย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องชักโครกที่เธอต้องการสุดๆ) ก็ดูจะล้ำสมัยและยากเกินกว่าคนที่นี่จะเข้าใจ
หมอหลวงชางบินถามอึนซูว่าเธอจะนำความรู้จากสวรรค์มาสอนคีชอลเพื่อแลกกับสมุดงั้นหรือ อึนซูยอมรับแต่โดยดี ทั้งยังบอกด้วยว่าถ้าเธอถอดรหัสตัวเลขและพิกัดในสมุดได้ เธอก็จะหาทางกลับบ้านได้เช่นกัน หมอชางถามว่าเธอแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่อยู่ในสมุดจะบอกทางกลับบ้าน อึนซูสารภาพว่าเธอเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เธอจึงอยากนำสมุดมาศึกษาดู หมอชางฟังแล้วอ่อนใจจึงกล่าวกับอึนซูว่า ตนและชเวยองมีความเห็นตรงกันว่าคีชอลเป็นคนที่น่ากลัวมาก อึนซูโม้ว่าเธอมาจากย่านกังนัม และที่นั่นก็เต็มไปด้วยคนหน้าเนื้อใจเสือซึ่งน่ากลัวกว่าคีชอล 3-4 เท่า หมอชางแปลกใจที่บนสวรรค์ก็มีคนไม่ดีอาศัยอยู่ด้วย อึนซูจึงบอกว่าเธอไม่ได้มาจากสวรรค์แต่มาจากอนาคต และเธอก็เคยบอกเรื่องนี้กับชเวยองแล้ว
หมอหลวงชางบินถามอึนซูว่าเธอจะนำความรู้จากสวรรค์มาสอนคีชอลเพื่อแลกกับสมุดงั้นหรือ อึนซูยอมรับแต่โดยดี ทั้งยังบอกด้วยว่าถ้าเธอถอดรหัสตัวเลขและพิกัดในสมุดได้ เธอก็จะหาทางกลับบ้านได้เช่นกัน หมอชางถามว่าเธอแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่อยู่ในสมุดจะบอกทางกลับบ้าน อึนซูสารภาพว่าเธอเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เธอจึงอยากนำสมุดมาศึกษาดู หมอชางฟังแล้วอ่อนใจจึงกล่าวกับอึนซูว่า ตนและชเวยองมีความเห็นตรงกันว่าคีชอลเป็นคนที่น่ากลัวมาก อึนซูโม้ว่าเธอมาจากย่านกังนัม และที่นั่นก็เต็มไปด้วยคนหน้าเนื้อใจเสือซึ่งน่ากลัวกว่าคีชอล 3-4 เท่า หมอชางแปลกใจที่บนสวรรค์ก็มีคนไม่ดีอาศัยอยู่ด้วย อึนซูจึงบอกว่าเธอไม่ได้มาจากสวรรค์แต่มาจากอนาคต และเธอก็เคยบอกเรื่องนี้กับชเวยองแล้ว
ต็อกมานเห็นอึมจานั่งหลับตาหน้าสำนักหมอหลวงจึงเดินเข้าไปหาและตบมิอเรียกสุดแรง อึมจาซึ่งกำลังใช้วิชาหูทิพย์อยู่จึงปวดแก้วหูอย่างรุนแรง ต็อกมานนึกว่าอึมจานั่งหลับจึงไล่ให้เขากลับไปนอนที่บ้าน พลางชักดาบออกมาข่มขู่ อึมจารู้ว่าต็อกมานไม่มีทางสู้ตนได้และตัวเขาก็ยังมีภารกิจสำคัญรออยู่ จึงทำหน้ารำคาญแล้วเดินจากไปแต่โดยดี ต็อกมานไม่รู้ว่าตนโชคดีแค่ไหนที่รอดตายมาได้ จึงเรียกอึมจาว่า "ผมขาว" และท้าทายให้กลับมาต่อสู้กันก่อน
พระเจ้าคงมินตรัสถามหัวหน้ากลุ่มซูริบังและท่านป้าว่าทั้งคู่มีความเห็นอย่างไร หัวหน้ากลุ่มไม่รู้ว่าจะตอบยังไง ป้าซูริบังเลยตอบแบบเลี่ยงๆ ว่าเธอรู้สึกซาบซึ่งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อคนต่ำต้อยเช่นพวกตน จากนั้นก็รีบทูลลาทันที ชเวยองทูลพระเจ้าคงมินว่า "ฝ่าบาท สำหรับกลุ่มคนที่ร้ายกาจเช่นนี้ พวกเขาจะต้องมาอยู่ข้างเรา หรือไม่ก็ต้องโดนสังหารแบบถอนรากถอนโคนพะยะค่ะ หากฝ่าบาททรงปล่อยพวกเขาไปในวันนี้ ก็ยากที่จะทำการจับกุมในภายหลัง ดังนั้น ได้โปรดตัดสินพระทัยในตอนนี้เลยว่า ฝ่าบาทอยากให้พวกเขามาเป็นคนของพระองค์ หรือจะให้กระหม่อมกำจัดพวกเขาดี"
หัวหน้ากลุ่มได้ยินดังนั้นก็ชี้หน้าด่าชเวยองอย่างลืมตัว ชเวยองจึงแกล้งเร่งให้พระเจ้าคงมินมีรับสั่งว่าจะจัดการอย่างไร พระเจ้าคงมินตรัสถามหัวหน้ากลุ่มซูริบังว่า "นี่ มันโบ! ข้าควรทำยังไงดี ข้าต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้แล้วก็ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง หนทางในการรักษาบัลลังก์ของข้า ข้าควรเลือกทางลัดแม้จะต้องมีการหลั่งเลือด หรือข้าควรเลือกทางเดินที่ถูกต้องถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าก็ตาม.... วันนี้ข้าจะใช้พวกเจ้าเป็นเครื่องพิจารณาและตัดสินใจว่าจะเลือกหนทางใด ดังนั้น เจ้าว่าข้าควรเลือกอย่างไรดี" (ไม่มีใครรู้เลยว่าในตอนนั้นพระเจ้าคงมินถูกฮวา ซูอิน สะกดรอยตามและคอยซุ่มดูอยู่ห่างๆ)
วันรุ่งขึ้น อึมจาบุกมาสอดแนมที่ตำหนักพระมเหสีโดยมีนางในอารักขาซึ่งเป็นคนของคีชอลคอยเปิดทางให้ สาเหตุที่เขาบุกเข้ามาถึงตำหนักในเป็นเพราะต้องการสอดแนมอึนซูที่เข้ามาตรวจดูอาการของพระมเหสี อีกด้านหนึ่งชเวยองก็กำลังหงุดหงิดเมื่อรู้ว่าชุงซอกทำรายชื่อเหล่าบัณฑิตหาย ซ้ำร้ายกลุ่มซูริบังยังฝากโทลแบมาเตือนชเวยองให้คอยระวังชอน อึมจา เพราะตอนนี้อึมจาซึ่งมีวิชาหูทิพย์กำลังตามสอดแนมอึนซูอยู่ ชเวยองได้ยินดังนั้นจึงรีบไปหาอึนซูที่ตำหนักพระมเหสีทันที
ในตอนนั้น อึมจากำลังใช้วิชาหูฟังแอบฟังอึนซูอยู่บนหลังคา... หลังตรวจดูรอยแผลที่ลำคอพระมเหสีแล้ว อึนซูก็ทูลว่าแผลของพระองค์หายเร็วมากอีกไม่นานก็มองแทบไม่เห็นรอยแผลเป็นแล้ว อึนซูรู้ว่าพระเจ้าคงมินทรงเป็นห่วงพระมเหสีมาก จึงทูลเชิญพระองค์ให้เสด็จเข้ามาดูใกล้ๆ พระเจ้าคงมินเห็นแล้วก็ตรัสอย่างชื่นชมว่าเป็นอย่างที่อึนซูพูดจริงๆ
พระมเหสีตรัสถามเรื่องที่อึนซูเพิ่งช่วยชีวิตคนไข้รายหนึ่ง อึนซูรีบออกตัวว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ พระเจ้าคงมินจึงตรัสว่าคนไข้ของอึนซูเป็นบุตรชายของเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งมณฑลซังซอง เขาเดินทางมาที่เมืองแค-กยองกับบิดา หากเขาต้องมาจบชีวิตที่นี่พระองค์คงตกที่นั่งลำบาก (บิดาของอี ซองเก คือ อี จาชุน หรืออูลูสบุคา ซึ่งเป็นนายพลเกาหลีที่รับใช้มองโกลแห่งราชวงศ์หยวน และเป็นผู้บังคับบัญชามณฑลซังซองที่ถูกมองโกลยึดไป)
พระมเหสีตรัสถามเรื่องที่อึนซูเพิ่งช่วยชีวิตคนไข้รายหนึ่ง อึนซูรีบออกตัวว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ พระเจ้าคงมินจึงตรัสว่าคนไข้ของอึนซูเป็นบุตรชายของเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งมณฑลซังซอง เขาเดินทางมาที่เมืองแค-กยองกับบิดา หากเขาต้องมาจบชีวิตที่นี่พระองค์คงตกที่นั่งลำบาก (บิดาของอี ซองเก คือ อี จาชุน หรืออูลูสบุคา ซึ่งเป็นนายพลเกาหลีที่รับใช้มองโกลแห่งราชวงศ์หยวน และเป็นผู้บังคับบัญชามณฑลซังซองที่ถูกมองโกลยึดไป)
ชเวซังกุงกล่าวเสริมว่า เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของแม่ทัพอี จาชุน นามว่า "อี ซองเก" อึนซูแทบช็อคเมื่อรู้ว่าคนที่เธอเพิ่งช่วยชีวิตคือ "อี ซองเก" เธอรำพึงรำพันกับตัวเอง "รึว่าเขาจะเป็น...รึว่าเขาจะเป็น... เขาคงไม่ใช่อี ซองเกคนนั้นใช่ไหม คนที่ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์... ใช่ อี ซองเกคนนั้นรึเปล่า" อึนซูเดินไปหาหมอหลวงชางบินแล้วถามว่า หากไม่ได้เธอช่วยรักษาพระมเหสีคงสวรรคตไปแล้วใช่ไหม เมื่อหมอชางตอบว่าใช่ อึนซูจึงกล่าวต่อว่าหากเธอไม่เดินทางไปพบองค์ชายคยองชาง พระองค์คงไม่สิ้นพระชนม์เพราะยาพิษ ในตอนนั้นองค์ชายเป็นเนื้องอกชนิดร้ายแรง แม้มีเหตุให้สิ้นพระชนม์ก็ต้องไม่ใช่เพราะเสวยยาพิษนั่น
พระเจ้าคงมินเห็นอึนซูพูดจาแปลกๆ จึงตรัสถามหมอชางว่าอึนซูพูดเรื่องอะไร อึนซูซึ่งยังคงตกอยู่ในภวังค์รำพึงรำพันต่อว่า "เด็กหนุ่มคนนั้น ถ้าชั้นไม่ช่วยรักษาเขา เขาจะตายไหม เด็กคนนั้น...ถ้าเขาเป็นอี ซองเกที่ชั้นรู้จัก... นี่มันอะไรกัน" อึนซูทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าพระมเหสีอย่างอ่อนแรง พระเจ้าคงมินตรัสถามอึนซูว่าเธอรู้จักอี ซองเกด้วยหรือ อึนซูหันไปทูลพระเจ้าคงมินว่า "เด็กคนนั้น อีกหน่อย.... อีกหน่อย ... ตระกูลอี... ราชวงศ์โชซอน" อึนซูรีบเอามือปิดปากตนเองด้วยความตกใจที่พลั้งปากพูดออกมา
ชเวยองรีบเข้ามาในตำหนักพระมเหสีแล้วทูลพระเจ้าคงมินว่า ขอพาอึนซูออกไปข้างนอกสักครู่ จากนั้นก็ลากแขนอึนซูออกมานอกตำหนัก (อึนซูดิ้นรนขัดขืนและโวยวายตลอดทาง) หลังมองไปรอบๆ แล้วเขาก็บอกอึนซูว่าตนมีเรื่องจะคุยกับเธอ อึนซูชิงบอกว่าให้เธอพูดก่อน จากนั้นก็โวยวายเรื่องที่เขาลักพาตัวเธอมาที่นี่ และถามว่ารู้ไหมผลที่ตามมาคืออะไร ชเวยองสั่งให้อึนซูหุบปาก โดยบอกว่านั่นคือสิ่งที่เขาต้องการจะพูดกับเธอ จากนั้นก็คว้าข้อมืออึนซูอีกครั้ง แต่อึนซูกลับขัดขืนและเตะก้นชเวยองเต็มแรง ก่อนบอกว่าแม้เธอจะเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอและไม่เก่งเรื่องประวัติศาสตร์ แต่อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าเธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ตามอำเภอใจ เธอจึงระมัดระวังในเรื่องนี้มาโดยตลอด....
ชเวยองเห็นอึนซูยังคงพูดพล่ามโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจึงเดินเข้าไปหา อึนซูจึงสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้จนกว่าเธอจะพูดจบ จากนั้นก็พูดต่อว่า "...ดังนั้น ชั้นเลยผ่าตัดให้คนไข้รายหนึ่งในวันนี้ ไม่ใช่เพราะชั้นเป็นหมอที่มีคุณธรรมหรือมีจิตใจสูงส่งหรอกนะ แต่เป็นเพราะชั้นต้องการหยั่งเชิงคีชอล ชั้นเลยเอาเครื่องมือผ่าตัดมาเป็นข้ออ้างในการออกไปพบเขา ทั้งๆ ที่ไม่ควรทำแต่ชั้นก็ผ่าตัดคนไข้ไปแล้วในวันนี้ แล้วนายรู้มั๊ยว่าคนไข้เป็นใคร"
ชเวยองพยายามบอกให้อึนซูหยุดพูด แต่อึนซูยังคงพูดต่อว่า "เด็กคนนั้น พอโตขึ้นเขาจะเป็น...." ชเวยองตวาดบอกให้อึนซูหยุดพูด แต่อึนซูโวยวายทั้งน้ำตาว่า "ทำไมล่ะ ชั้นจะอกแตกตายอยู่แล้วนะ แล้วจะให้ชั้นไปบอกเรื่องนี้กับใคร" ชเวยองขยับเข้าไปหาอึนซูแล้วเตือนว่า "การที่ท่านทำตัวเหมือนรู้เรื่องประวัติศาสตร์...หรืออนาคตเป็นอย่างดี ท่านรู้ไหมว่าการพูดเรื่องเหล่านี้จะทำให้ท่านมีอันตราย" แต่อึนซูยังคงพูดต่อว่า "วันนี้ชั้นช่วยชีวิตคนที่จะฆ่านายในอนาคต" ชเวยองฟังแล้วถึงกับอึ้ง อึนซูร้องไห้คร่ำครวญว่า "ทำไมชั้นต้องทำเรื่องบ้าๆ นี่ ชั้นถูกลากตัวมายังโลกนี้ ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย... นายจะให้ชั้นถามเรื่องนี้กับใคร" ชเวยองรู้สึกได้ว่าอึมจาแอบฟังอยู่บนหลังคา จึงสั่งให้ลูกน้องคอยคุ้มกันอึนซูแล้วออกไล่ล่าอึมจาทันที แต่อึมจาก็สามารถหลบหนีออกไปได้ตามเคย
* ประวัติศาสตร์ระบุเอาไว้ว่า หลังพระเจ้าคงมินทรงยึดมณฑลซังซองคืนมาได้ อี ซองเก ก็มาทำงานรับใช้พระเจ้าคงมิน โดยมีผลงานโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นการยึดเมืองแคซองคืนจากกบฏโพกผ้าแดง การปราบโจรสลัดญี่ปุ่น ฯลฯ... หลังพระเจ้าคงมินถูกลอบปลงพระชนม์ อี ซองเก ก็ร่วมมือกับชเวยองยึดอำนาจจากขุนนางฝ่ายมองโกล ต่อมาอี ซองเกหักหลังชเวยองด้วยการนำทหาร (ที่ชเวยองมอบหมายให้เขานำไปบุกราชวงศ์หมิง) กลับมายึดอำนาจในวังแล้วสังหารชเวยอง ก่อนที่จะล้มราชวงศ์โครยอแล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ (โชซอน) โดยสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระราชาองค์แรก ซึ่งก็คือ "พระเจ้าแทโจแห่งโชซอน" นั่นเอง
คีชอลทั้งดีใจและตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เมื่อรู้ว่าอึนซูมาจากสวรรค์และเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตจริงๆ คีวอนถามพี่ชายว่าควรชิงตัวอึนซูกลับมาไหม ยางซาแย้งว่าถึงได้ตัวอึนซูคืนมาก็ไม่มีประโยชน์ถ้าหากเธอไม่ยอมเผยความจริง คีชอลเห็นด้วยกับยางซาและบอกว่าตนจะจัดการปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีง่ายๆ และตรงไปตรงมา ตอนนี้ตนอดใจรอแทบไม่ไหวแล้ว เพราะยังมีอะไรให้ค้นหาและไขว่คว้าอีกมาก คงมีเพียงเวลาเท่านั้นที่ลดน้อยถอยลง
ฮวา ซูอินหันไปเห็นอึมจามีเลือดออกที่ใบหูจึงช่วยเช็ดคราบเลือดให้ พลางถามว่าทำไมอึมจาถึงเปิดหู (ใช้วิชาหูทิพย์) ทั้งๆ ที่หูของเขาไวกว่าคนอื่นถึง 12 เท่า และการทำเช่นนั้นอาจทำให้เขาหูหนวกได้ อึมจาตอบว่าเป็นเพราะคีชอลอยากรู้ ซูอินแย้งว่าแทนที่จะยอมเสี่ยง เขาควรโกหกว่าแอบฟังแล้วแต่ไม่ได้ยินอะไรเลย อึมจาโกหกไม่เป็นจึงถามกลับว่าการโกหกมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ซูอินหัวเราะแล้วตอบว่าการโกหกนั้นง่ายกว่าพูดความจริงเสียอีก หลังจากนั้นซูอินก็ถามถึงชเวยองทำให้อึมจาอารมณ์เสีย และถามกลับว่าอยากรู้ไปทำไม ซูอินลูบหัวอึมจาแล้วบอกว่าคีชอลชอบเล่นกับโลก (อยากครองโลก) มากที่สุด ส่วนเธอชอบเล่นกับหัวใจผู้ชาย จากนั้นก็ถามอึมจาว่าเขาชอบเล่นกับอะไรมากที่สุด เมื่อเห็นอึมจาออกอาการหงุดหงิด ซูอินก็บอกว่าอย่าโกรธไปเลย สำหรับเธอแล้วชเวยองเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งก็เท่านั้น
อึนซูเข้าไปดูอาการอี ซองเก แล้วถามว่าเจ็บแผลไหม ซองเกตอบว่าพอทนได้ เขาทำท่าว่าจะลุกขึ้น แต่ถูกอึนซูห้ามเอาไว้ เขาจึงนอนลงแล้วถามอึนซูว่าเธอคือหมอที่มาจากสวรรค์ใช่ไหม อึนซูตอบว่าทุกคนต่างก็เรียกเธอเช่นนั้น ซองเกกล่าวว่าอีกไม่นานพ่อของตนก็จะกลับมา เมื่อถึงตอนนั้นพ่อของตนจะต้องมอบรางวัลให้อึนซูอย่างแน่นอน อึนซูตัดบทด้วยการถามว่าเขาชื่ออะไร อี ซองเกแนะนำตัวแล้วบอกว่าเดิมทีตนอยู่ที่ชอนจูแต่ตอนนี้อยู่ที่มณฑลซังซอง อึนซูฟังแล้วได้แต่ถอนใจ
หลังจากเดินครุ่นคิดมาตลอดทาง ชเวยองก็สั่งให้แทมานไปที่สำนักหมอหลวง แทมานได้ฟังดังนั้นก็บอกว่า "ขอรับ" แล้วรีบทำตามคำสั่งที หลังวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวแทมานก็วิ่งกลับมาถามว่าจะให้ตนไปที่นั่นทำไม ชเวยองจึงบอกให้ไปดูว่าอึนซูอยู่ที่สำนักหมอหลวงหรือไม่ หลังแทมานวิ่งออกไปแล้วโทลแบก็วิ่งสวนเข้ามาและรายงานว่าคีชอลเข้ามาในวังและตรงไปที่ตำหนักพระเจ้าคงมิน
ต็อกมานเดินไปส่งอึนซูที่หน้าห้อง เมื่ออึนซูเข้าไปในห้องเธอก็แทบช็อคเมื่อพบว่าฮวา ซูอินจับโทกีเป็นตัวประกัน และพยายามข่มขู่ให้อึนซูออกจากวังไปด้วยกัน อึนซูจึงเดินออกมาหาต็อกมานแล้วออกอุบายให้เขาเข้าไปช่วยโทกียกของทางด้านในเพือเบี่ยงเบนความสนใจ แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ต็อกมานก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดี เขาตะโกนเรียกโทกีทางด้านนอกครู่หนึ่ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าโทกีเป็นใบ้เขาจึงเปิดประตูเข้าไป และพบว่าโทกีถูกมัดมือมัดปากอยู่ภายในห้อง ในเวลาเดียวกันนั้นหมอหลวงชางบินก็กำลังนำยาไปให้อี ซองเก แต่แล้วกลับพบว่าอี ซองเกหายตัวไป
ชเวยองรีบไปอารักขาพระเจ้าคงมินที่ท้องพระโรง คีชอลเห็นดังนั้นจึงถามว่าข้าราชบริพารที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าคงมินมารวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดแล้วใช่ไหม พระเจ้าคงมินบอกให้คีชอลเข้าเรื่อง คีชอลจึงทูลว่าตนได้ยินมาว่าพระเจ้าคงมินกำลังมีแผนระดมพล และคนที่พระองค์เลือกก็ล้วนแต่เป็นคนที่มีวิชาความรู้ อีกทั้งยังมีความสามารถที่โดดเด่น แต่ตนจะไม่ยอมให้พระองค์ทำเรื่องเช่นนั้นได้โดยง่าย พระเจ้าคงมินตรัสถามคีชอลว่าเขาจะแย่งชิงอำนาจไปจากพระองค์งั้นหรือ คีชอลตอบว่าก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ตนและพระเจ้าคงมินควรเจรจากันก่อน และตนก็หวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงโดยที่ไม่ต้องมีการต่อสู้แย่งชิง
คีชอลหยิบรายชื่อเหล่าบัณฑิต (ที่คนของตนขโมยมาจากชุงซอก) ออกมาให้พระเจ้าคงมินดู ชเวยองจ้องหน้าชุงซอกด้วยสายตาตำหนิ ชุงซอกรู้ว่าเป็นความบกพร่องของตนจึงถึงกับหน้าถอดสี คีชอลทูลว่า ตนรู้ว่าพระเจ้าคงมินได้รายชื่อเหล่านี้มาจากหน่วยข่าวกรองที่แฝงตัวเป็นพ่อค้าเร่ ตนเป็นข้าราชบริพารของพระองค์จึงรับไม่ได้ที่พระองค์ทรงเชื่อใจคนอื่นมากกว่าตน ทั้งยังบอกด้วยว่า "กระหม่อมมีข้อเสียอย่างหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าแก้ไม่ได้ ข้อเสียที่ว่าก็คือกระหม่อมเป็นคนขี้อิจฉาอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้..." พระเจ้าคงมินสวนขึ้นว่า "แล้วไง" คีชอลกล่าวต่อ "ข้าราชบริพารของพระองค์ไม่ชอบคนที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายชื่อนั่น ... กระหม่อมไม่ต้องการให้คนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปพะยะค่ะ"
คีชอลหยิบรายชื่อเหล่าบัณฑิต (ที่คนของตนขโมยมาจากชุงซอก) ออกมาให้พระเจ้าคงมินดู ชเวยองจ้องหน้าชุงซอกด้วยสายตาตำหนิ ชุงซอกรู้ว่าเป็นความบกพร่องของตนจึงถึงกับหน้าถอดสี คีชอลทูลว่า ตนรู้ว่าพระเจ้าคงมินได้รายชื่อเหล่านี้มาจากหน่วยข่าวกรองที่แฝงตัวเป็นพ่อค้าเร่ ตนเป็นข้าราชบริพารของพระองค์จึงรับไม่ได้ที่พระองค์ทรงเชื่อใจคนอื่นมากกว่าตน ทั้งยังบอกด้วยว่า "กระหม่อมมีข้อเสียอย่างหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าแก้ไม่ได้ ข้อเสียที่ว่าก็คือกระหม่อมเป็นคนขี้อิจฉาอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้..." พระเจ้าคงมินสวนขึ้นว่า "แล้วไง" คีชอลกล่าวต่อ "ข้าราชบริพารของพระองค์ไม่ชอบคนที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายชื่อนั่น ... กระหม่อมไม่ต้องการให้คนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปพะยะค่ะ"
ชเวยองเดินตรงไปหาแล้วใช้ดาบจ่อเข้าที่ลำคอของคีชอล พลางกล่าวว่ากล้าดียังไงถึงได้พูดพล่อยๆ ต่อหน้าพระราชา จากนั้นก็ทูลพระเจ้าคงมินว่าในฐานะที่เป็นอูดัลจิ ตนสามารถสังหารคีชอลได้ทันที (ขอเพียงพระองค์มีรับสั่ง) พระเจ้าคงมินสงสัยว่าคีชอลมาที่นี่ตามลำพังแล้วทำไมยังกล้าอวดดีต่อหน้าพระองค์ คีชอลยิ้มแล้วกล่าวว่าหากไม่มีหมากเด็ดตนคงไม่กล้าทูลเช่นนั้น หมากตัวแรกของตนอยู่ในตำหนักพระมเหสี ส่วนหมากตัวที่สอง...คีชอลหันไปมองชเวยองแล้วบอกว่าอยู่ที่ท่านหมอ ชเวยองได้ยินดังนั้นก็ตาแดงก่ำ เมื่อเหลือบตามองต็อกมานและแทมาน ก็เห็นต็อกมานทำหน้าสลดส่วนแทมานก้มศีรษะขอโทษ ชเวยองจึงรู้ได้ทันทีว่าคีชอลไม่ได้พูดเล่น
ฮวา ซูอินพาอึนซูออกไปนอกวังแล้วบอกให้อึนซูขี่ม้าที่อึมจาจูงมาให้ อึนซูแย้งว่าเธอขี่ม้าไม่เก่ง ซูอินจึงบอกให้อึนซูหันไปดูข้างหลัง ปรากฏว่าอี ซองเกก็ถูกจับเป็นตัวประกันด้วยเช่นกัน อึนซูโวยวายลั่นว่าทำเช่นนี้ทำไม ซูอินให้เหตุผลว่าคนเป็นหมอย่อมไม่อยากเห็นคนไข้ตายต่อหน้า ด้วยเหตุนี้เธอจึงจับอี ซองเกมาด้วย (ถ้าอึนซูไม่เชื่อฟัง คนไข้ของเธอก็จะถูกฆ่าตาย) และสิ่งที่อึนซูต้องทำก็คือ ติดตามตนและอึมจาไปทำงานบางอย่าง
ฮวา ซูอินพาอึนซูออกไปนอกวังแล้วบอกให้อึนซูขี่ม้าที่อึมจาจูงมาให้ อึนซูแย้งว่าเธอขี่ม้าไม่เก่ง ซูอินจึงบอกให้อึนซูหันไปดูข้างหลัง ปรากฏว่าอี ซองเกก็ถูกจับเป็นตัวประกันด้วยเช่นกัน อึนซูโวยวายลั่นว่าทำเช่นนี้ทำไม ซูอินให้เหตุผลว่าคนเป็นหมอย่อมไม่อยากเห็นคนไข้ตายต่อหน้า ด้วยเหตุนี้เธอจึงจับอี ซองเกมาด้วย (ถ้าอึนซูไม่เชื่อฟัง คนไข้ของเธอก็จะถูกฆ่าตาย) และสิ่งที่อึนซูต้องทำก็คือ ติดตามตนและอึมจาไปทำงานบางอย่าง
ชเวยองแนะนำให้พระเจ้าคงมินสังหารคีชอลก่อนแล้วค่อยสืบหาความจริงทีหลัง คีชอลได้ยินดังนั้นจึงทูลพระเจ้าคงมินอย่างไม่สะทกสะท้านว่า ในฐานะพระราชา...พระองค์จะต้องตัดสินใจและเลือกว่า ใครที่พระองค์ควรหันหลังให้และใครที่ควรอยู่เคียงข้างพระองค์ ใครที่ควรเสียสละชีวิตและใครที่สมควรได้รับการปกป้อง เมื่อพระเจ้าคงมินสั่งให้ชเวยองวางดาบ คีชอลก็ทูลว่าเป็นการตัดสินพระทัยอันชาญฉลาด พระเจ้าคงมินตัสถามคีชอลว่าเขาต้องการอะไร คีชอลตอบตามตรงว่า "กระหม่อมก็แค่หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอยู่เฉยๆ " พระเจ้าคงมินตรัสถามคีชอลด้วยความโกรธว่า เขาต้องการให้พระองค์เป็นเพียงพระราชาหุ่นเชิดงั้นหรือ
คีชอลปฏิเสธโดยบอกว่า ตนแค่อยากให้พระองค์ทรงเป็นพระราชาที่รักและห่วงใยประชาชนของพระองค์ คนที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายชื่อดังกล่าวก็เป็นประชาชนของพระองค์เช่นกัน หากพระองค์ทรงรักและเป็นห่วงคนเหล่านั้นก็ควรวางมือเสีย (เลิกคิดที่จะชักชวนพวกเขาให้มาอยู่ฝ่ายพระองค์) แล้วพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อได้ฟังดังนั้นชเวยองก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องออกไปตรวจสอบสถานการณ์
ซูอินและอึมจาพาอึนซูมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซูอินมองดูรายชื่อแล้วบอกว่าเจ้าของบ้านคือยูน แทยอง อายุ 40 กว่าปี แทยองเห็นคนขี่ม้ามาหยุดที่หน้าบ้านจึงเดินออกมาดู อึมจาไม่รอช้ารีบลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปสังหารแทยองทันที อึนซูเห็นดังนั้นก็แทบช็อค หลังสังหารแทยองแล้วอึมจาก็สอดจดหมายเข้าไปในปากแทยอง
คีชอลทูลพระเจ้าคงมินว่า คนแรกในรายชื่อถูกโจรฆ่าตายตอนกลางวันแสกๆ ส่วนคนที่สองก็เพิ่งถูกโจรฆ่าตายเช่นกัน คีชอลกำลังจะพูดถึงคนต่อไป แต่พระเจ้าคงมินโกรธจนทนฟังไม่ไหวจึงตวาดใส่คีชอลเสียงดังลั่น ชเวยองทูลพระเจ้าคงมินว่าตนจะออกไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ระหว่างนี้ขอให้พระองค์ทรงยื้อเวลาเอาไว้ก่อนแล้วตนจะรีบกลับมา ระหว่างนั้นโทลแบและจูซอกนำกำลังไปที่บ้านหลังหนึ่งและพบว่าเจ้าของบ้านถูกสังหารโดยมีกระดาษเสียบไว้ที่ปาก เมื่อหยิบกระดาษขึ้นมาดูก็พบข้อความ "หากรู้ตัวว่าทำผิดพลาด ก็จงรีบแก้ไขเสีย"
อีกด้านหนึ่งอึนซูก็กำลังเกาะต้นไม้อาเจียน อึมจาส่งผ้าเช็ดหน้าให้ด้วยความหวังดีแต่อึนซูไม่ต้องการรับน้ำใจจากฆาตกรใจโหดจึงปัดผ้าทิ้งแล้วเดินหนี ซูอินถามอึนซูว่าค่อยยังชั่วหรือยัง หากเธอดีขึ้นแล้วจะได้ไปบ้านหลังอื่นต่อ เมื่อเห็นอึนซูยังคงนั่งนิ่ง ซูอินก็พูดกับอึมจา (ให้อึนซูได้ยิน) ว่า ตอนนี้อึนซูคงรู้ซึ้งถึงความโหดร้ายของพวกตนแล้ว และคงรู้ด้วยว่าถ้าคิดเล่นตลกหรือวางแผนหลอกลวงพวกตนแล้วผลจะเป็นยังไง อึมจาจึงเสนอให้เริ่มแผนการขั้นต่อไป
ซูอินหันไปหาอึนซูแล้วบอกว่าแผนการขั้นต่อไปอึนซูจะต้องเป็นคนตัดสินใจ โดยเธอต้องเลือกคนใดคนหนึ่งระหว่าง พระมเหสี หมอหลวงชางบิน และชเวยอง ซูอินถามอึนซูว่า "ในบรรดาสามคนนี้ ใครคือคนที่เจ้ารักมากที่สุด... คนๆ นั้นคือเหยื่อรายต่อไปของเรา เจ้าจะเลือกใครกัน" อึนซูได้ยินดังนั้นก็น้ำไหลพราก