ในที่สุดอารังก็ได้พบท่านมหาเทพสมใจ แถมยังถูกชุบชีวิตให้กลับมาเป็นคนใหม่อีกครั้งเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตายของตนเอง ขณะที่อึนโอกำลังจะนำศพลี โซริน (อารัง) ไปฝัง เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นอารังกลับมาในสภาพเป็นคน อารังแอบปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อไปดูพิธีฝังศพตนเองทำให้ได้พบกับจูวอลโดยบังเอิญ จูวอลถึงกับอึ้งเมื่อแหวนในมือเปล่งแสงขณะที่เขาสัมผัสตัวอารัง เธอคือผู้หญิงที่เขากำลังตามหา และยังเป็นหญิงสาวที่เขาตกหลุมรักอีกด้วย
เนื้อหา
อึนโอเป็นห่วงและร้อนใจมากที่อารังหายตัวไปหลังเห็นสภาพศพอันน่าเวทนาของลี โซริน (อารัง) เขาจึงออกตามหาเธอกลางดึกโดยฝากฝังโดลแซให้ช่วยเฝ้าศพหญิงสาวเอาไว้ ขณะที่อึนโอกำลังตามหาอารังที่บ้านพังวูล (สาวน้อยคนทรง) พังวูลก็วิ่งร้องไห้เข้ามาโดยไม่ทันสังเกตว่าอึนโอยืนอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน เธอตรงไปยังแท่นบูชาและรีบกล่าวขอขมาด้วยความหวาดกลัวทันที
พังวูลถึงกับสติแตกเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกของอึนโอ อึนโอเห็นพังวูลหงายหลังลงไปนอนร้องไห้ครวญครางกับพื้นเลยเอ่ยถามว่าเป็นอะไร เมื่อเห็นว่าชายที่ยืนตรงหน้าคืออึนโอ พังวูลก็ลุกขึ้นนั่งและหยุดร้องไห้ แม้จะแปลกใจที่เห็นพังวูลมีท่าทางแปลกๆ แต่เขาอยากรู้เรื่องอารังมากกว่าจึงถามว่า "ยัยความจำเสื่อมมาที่นี่รึเปล่า" พังวูลตอบว่า "มา แต่ไปแล้ว" อึนโอเริ่มมีความหวังจึงรีบถามต่อว่าอารังไปไหน พังวูลตอบว่า ไป "นรก" คราวนี้ไปจริงๆ และอารังก็กล่าวคำอำลาตนแล้วด้วย
พังวูลยังบอกอีกว่าอารังต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่กล้าล่อหัวหน้ายมทูตให้มาติดกับ ซ้ำยังข่มขู่ให้พาไปพบท่านมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์อีกด้วย อึนโอถึงกับอึ้งเมื่อได้ฟังวีรกรรมของอารัง และยิ่งเป็นห่วงหนักขึ้นเมื่อพังวูลบอกว่าอารังอาจถูกลงโทษสถานหนักเมื่อเดินทางไปถึง "ที่นั่น"
มูยองเดินนำอารังเข้าไปในป่า อารังถามว่าคนของมัจจุราช (อย่างเขา) ก็ตายได้ด้วยหรือ (เธอเห็นว่ามูยองกลัวถูกดูดเข้าไปในห้วงอเวจี ในตอนที่แล้ว) มูยองตอบว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง (ไม่มีสิ่งใดที่ไม่แตกดับ) อารังรู้สึกแปลกใจที่ัเหล่ายมทูตก็ตายได้เช่นกัน เธอถามว่ายมทูตตายแล้วไปไหน มูยองอธิบายสั้นๆ ว่า "ตายแล้วก็จะดับสูญ" อารังไม่รู้สึกอะไรกับการที่ต้องดับสูญ (เพราะเธอไม่มีความทรงจำและยังไม่มีอะไรให้ห่วงหาอาวรณ์) จึงพูดขึ้นว่า "ก็แค่ดับสูญ ไม่เห็นน่ากลัวสักหน่อย" มูยองหยุดเดินแล้วหันกลับมามองอารัง อารังถามต่อด้วยความอยากรู้ว่า เขาเป็นยมทูตตั้งแต่เกิดหรือว่าเคยเกิดเป็นคนมาก่อน แต่มูยองไม่ตอบและเดินนำต่อไป
เมื่อมาถึงจุดหมาย มูยองก็หยุดเดินแล้วแหงนมองโคมไฟที่ลอยนำหน้ามาตลอดทาง ทันใดนั้น โคมไฟก็ร่วงลงพื้นและสาดแสงสู่พื้นดิน ทำให้บริเวณดังกล่าวเปลี่ยนเป็นช่วงเวลากลางวัน ทั้งคู่หยุดยืนริมแม่น้ำอันกว้างใหญ่ มูยองบอกอารังว่า นี่คือแม่น้ำแห่งความตาย ถ้าข้ามไปแล้วจะไม่มีวันได้กลับมา เขาถามอารังว่า มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ยังค้างคาใจอยู่หรือเปล่า อารังตอบว่า เธอยังไม่ได้กล่าวอำลา "เขา" เลย
พังวูลยังบอกอีกว่าอารังต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่กล้าล่อหัวหน้ายมทูตให้มาติดกับ ซ้ำยังข่มขู่ให้พาไปพบท่านมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์อีกด้วย อึนโอถึงกับอึ้งเมื่อได้ฟังวีรกรรมของอารัง และยิ่งเป็นห่วงหนักขึ้นเมื่อพังวูลบอกว่าอารังอาจถูกลงโทษสถานหนักเมื่อเดินทางไปถึง "ที่นั่น"
มูยองเดินนำอารังเข้าไปในป่า อารังถามว่าคนของมัจจุราช (อย่างเขา) ก็ตายได้ด้วยหรือ (เธอเห็นว่ามูยองกลัวถูกดูดเข้าไปในห้วงอเวจี ในตอนที่แล้ว) มูยองตอบว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง (ไม่มีสิ่งใดที่ไม่แตกดับ) อารังรู้สึกแปลกใจที่ัเหล่ายมทูตก็ตายได้เช่นกัน เธอถามว่ายมทูตตายแล้วไปไหน มูยองอธิบายสั้นๆ ว่า "ตายแล้วก็จะดับสูญ" อารังไม่รู้สึกอะไรกับการที่ต้องดับสูญ (เพราะเธอไม่มีความทรงจำและยังไม่มีอะไรให้ห่วงหาอาวรณ์) จึงพูดขึ้นว่า "ก็แค่ดับสูญ ไม่เห็นน่ากลัวสักหน่อย" มูยองหยุดเดินแล้วหันกลับมามองอารัง อารังถามต่อด้วยความอยากรู้ว่า เขาเป็นยมทูตตั้งแต่เกิดหรือว่าเคยเกิดเป็นคนมาก่อน แต่มูยองไม่ตอบและเดินนำต่อไป
เมื่อมาถึงจุดหมาย มูยองก็หยุดเดินแล้วแหงนมองโคมไฟที่ลอยนำหน้ามาตลอดทาง ทันใดนั้น โคมไฟก็ร่วงลงพื้นและสาดแสงสู่พื้นดิน ทำให้บริเวณดังกล่าวเปลี่ยนเป็นช่วงเวลากลางวัน ทั้งคู่หยุดยืนริมแม่น้ำอันกว้างใหญ่ มูยองบอกอารังว่า นี่คือแม่น้ำแห่งความตาย ถ้าข้ามไปแล้วจะไม่มีวันได้กลับมา เขาถามอารังว่า มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ยังค้างคาใจอยู่หรือเปล่า อารังตอบว่า เธอยังไม่ได้กล่าวอำลา "เขา" เลย
อารังพร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอกล่าวเตือนมูยองให้ทำตามสัญญา จากนั้นก็ลงเรือล่องไปตามแม่น้ำ ไม่นานแม่น้ำที่สงบนิ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นเชี่ยวกราก เรือที่อารังนั่งโคลงเคลงไปมา ก่อนแล่นตกจากหน้าผาและดำดิ่งลงสู่ใต้ผิวน้ำ เมื่อได้ยินเสียงเรียก "ยัยความจำเสื่อม" อารังลืมตาและพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่กับมูยอง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอารังคือ ผู้เฝ้าประตู ซึ่งสวมชุดสีขาว รูปร่างลักษณะคล้ายโครงกระดูกที่ถูกผ้าพันเป็นมัมมี่ทั้งตัวและมีแขนยาวผิดปกติ ที่ศีรษะมีผ้าสีดำคลุมปิดไว้และมีดวงตาลุกเป็นไฟ อารังนึกว่ามูยองหลอกพาเธอมาลงนรก จึงหันกลับไปต่อว่ามูยองที่โกหก เมื่อหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ผู้เฝ้าประตูก็เหินลงมาและยื่นหน้าเข้าไปหาอารังในระยะประชิด
พังวูลพูดให้อึนโอใจเสียด้วยการฟันธงว่า อารังจะถูกลงโทษสถานหนัก ลำพังความผิดบาปที่คนเราทำขณะยังมีชีวิต ก็มีโทษทัณฑ์อันสุดแสนทรมานอยู่แล้ว ถึงกระนั้นก็ยังมีทางหลุดพ้นหลังสิ้นกรรมชั่วเช่นเดียวกับผู้กระทำผิดบนโลกมนุษย์ที่พ้นโทษหลังถูกจองจำหรือโดนลงโทษครบตามกำหนด แต่สิ่งที่อารังทำกับยมทูตในวันนี้ถือเป็นโทษสถานหนัก ดังนั้น สิ่งที่รอเธออยู่ข้างหน้าก็มีแต่นรกอเวจีที่ไม่มีวันหลุดพ้น
อึนโอแย้งว่า คนทรงที่ไม่มีแม้แต่พลังจิต (และมองไม่เห็นผี) อย่างพังวูลจะรู้ดีเรื่องนรกได้อย่างไร พังวูลถูกจี้ใจดำเลยรู้สึกเจ็บจี๊ด เธอใช้นิ้วจิ้มไปที่ตำราแล้วบอกว่า ในนี้มีข้อมูลทุกอย่าง อึนโอแย้งอีกว่า "ก็แค่หนังสือที่คนบ้าที่ไหนไม่รู้เขียนเอาไว้" พังวูลชักโกรธที่อึนโอดูหมิ่นตำราที่อธิบายเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับ นรก อเวจี ปีศาจ ฯลฯ อึนโอรู้สึกตัวว่าปากเสียเลยถามเสียงอ่อยๆ ว่า นรกหน้าตาเป็นยังไง
พังวูลตอบว่าไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ทั้งหมด แต่ในตำราของเธอบอกว่ามีทั้งหมด 10 ขุม แต่ละขุมล้วนน่าสยดสยอง มีทั้งการนำคนทำกรรมชั่วไปต้มในหม้อน้ำเดือด นำไปเผาในเตาขนาดใหญ่ บางขุมก็ลงโทษด้วยวิธีการผ่าหรือเลื่อยตามร่างกาย บ้างก็มีอาวุธ เช่น มีด ดาบ หอก ซัดเข้ามาทิ่มแทงตลอดเวลา พังวูลกล่าวอีกว่า ยังมีเรื่องที่น่าสยดสยองอีกมากมายในนรก อารังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านรกน่ากลัวถึงเพียงนี้ หากเธอรู้มาก่อน ไม่ว่าจะร้อนใจแค่ไหน เธอก็คงไม่ทำอย่างที่ทำไปในวันนี้
อึนโอยิ่งฟังยิ่งเป็นห่วงอารัง เลยถามว่ามีอะไรที่เขาและพังวูลพอจะทำ (เพื่อช่วยอารัง) ที่นี่ได้บ้าง พังวูลถอนใจแล้วพูดว่า มนุษย์อย่างเราจะทำอะไรได้ จากนั้นก็ถามอึนโอว่า เขาจะไปนรกแทนอารังหรือ อึนโอยังไม่ทันได้พูดอะไร พังวูลก็พูดขึ้นว่า ไม่ว่าจะเป็นส้วมหรือเป็นนรก เราก็ไม่สามารถเข้าแทนคนอื่นได้ อึนโอถึงกับหน้าเจื่อน พังวูลนึกสงสัยว่า อารังจะรับมือนรกได้ดีสักแค่ไหน และกล่าวว่าแม้ภายนอกอารังจะแลดูเหมือนเข้มแข็ง แต่ความจริงแล้วภายในใจเธอเปราะบางมาก อึนโอฟังแล้วก็ยิ่งเป็นห่วงอารังและรู้สึกทรมานใจมากขึ้น
หลังได้รับมอบหมายจากนายน้อย (อึนโอ) ให้มาคอยเฝ้าศพหญิงสาว โดลแซก็แอบเปิดประตูดูร่างไร้วิญญาณที่ถูกผ้าขาวคลุมปิดไว้ พลางกล่าวว่า "ข้าไม่รู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับคุณหนูเลย เกิดเรื่องแบบนี้กับหญิงสาวที่ทั้งสวยและอายุยังน้อยอย่างคุณหนูได้ยังไง คุณหนูไม่มีแม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะข้าอยากเป็นนายอำเภอหรอกนะ (อึนโอมอบหมายให้โดลแซเฝ้าศพโดยสวมบทนายอำเภอในคืนนี้) แต่เห็นคุณหนูตกอยู่ในสภาพนี้แล้วทำให้ข้ารู้สึกสะเทือนใจนิดหน่อย"
คืนนั้นสามเกลอเปิดประตูที่ว่าการอำเภอให้คนของใต้เท้าเชบุกเข้ามากลางดึกพร้อมท่อนไม้และอาวุธครบมือ หวังชิงศพของลี โซริน (อารัง) กลับไป เมื่อเห็นว่าโดลแซเฝ้าศพอยู่ที่หน้าห้อง สามเกลอก็ชะงักไปชั่วครู่ โดลแซรีบลุกขึ้นยืนขวางประตู หนึ่งในสามเกลอไม่อยากให้ถึงขั้นเลือดตกยางออกเลยวิ่งเข้าไปดึงตัวโดลแซออกมา แต่กลับถูกโดลแซจับเหวี่ยงจนล้มคว่ำ เช่นเดียวกับลูกสมุนคนหนึ่งของใต้เท้าเช
เมื่อเห็นว่าโดลแซไม่ยอมให้ใครเข้าไปชิงศพแน่ๆ คนสนิทของใต้เท้าเช (หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์) ก็สั่งให้โดลแซถอยไปโดยอ้างว่านี่เป็นคำสั่งของใต้เท้าเช โดลแซชะงักไปชั่วครู่ด้วยความหวาดกลัว ก่อนรวบรวมความกล้าและถามกลับว่า ใต้เท้าเชเลี้ยงพวกโจรอันธพาลเอาไว้ด้วยหรือ ทำไมขุนนางอย่างใต้เท้าเชต้องสั่งให้ลูกสมุนบุกเข้ามาในสถานที่ของทางการกลางดึกอย่างนี้ด้วย แม้จะถูกข่มขู่และต้องสู้เพียงลำพัง แต่โดลแซก็ยังคงยืนกรานว่า เขาจะปกป้องที่นี่เอาไว้ให้ได้
หนึ่งในสามเกลอรีบสั่งให้โดลแซถอยไป เขาเดินเข้ามาฉุดแขนโดลแซแต่แล้วก็ถูกผลักกระเด็น โดลแซตำหนิสามเกลอว่าหน้าไม่อาย กินเงินหลวงแล้วยังร่วมมือกับพวกโจรอีก อีบังเห็นโดลแซมีทีท่าขึงขังและกล้าหาญผิดปกติ (เพราะกำลังสวมบทนายอำเภอแทนอึนโอ) เลยคิดว่าเขากินอะไรผิดสำแดง หลังจากนั้น คนของใต้เท้าเชก็รุมทำร้ายโดลแซที่ปราศจากอาวุธ แม้โดลแซจะมีร่างกายกำยำ แต่เขาก็โดนรุมยำจนน่วมเพราะต้านศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าและมีท่อนไม้ในมือไม่ไหว ถึงกระนั้นโดลแซก็ยังสู้ขาดใจ และคอยขวางประตูห้องลี โซริน เอาไว้ ไม่ให้ใครบุกเข้าไป สามเกลอเห็นโดลแซถูกรุมตีและรุมกระทึบไม่ยั้งชักเริ่มทนดูไม่ได้ จึงพยายามร้องบอกให้โดลแซเลิกขัดขวางแล้วถอยออกมา
แม้จะถูกรุมทำร้ายปางตาย แต่โดลแซยังคงยืนกรานว่าที่นี่ (ห้องลี โซริน) เป็นพื้นที่รับผิดชอบของตน ใครก็เข้ามาแตะต้องไม่ได้ หากจะเข้าไปต้องข้ามศพตนไปก่อน คนสนิทของใต้เท้าเชเห็นโดลแซยังคงดึงดันจึงชักมีดออกมาและกล่าวอย่างดูถูกว่า ถึงตนจะฆ่าโดลแซตายก็ไม่มีวันเข้าไปนั่งอยู่ในคุก (เพราะโดลแซเป็นเพียงทาสชั้นต่ำ และเขาก็มีใต้เท้าเชคอยหนุนหลัง) พูดจบเขาก็พุ่งเข้าไปแทงโดลแซ โชคดีที่โดลแซนำม้วนเสื่อมาบังลำคอเอาไว้ได้ทัน ชายคนดังกล่าวแก้ตัวว่านี่เป็นเพียงตัวอย่าง เขาดึงมีดออกจากเสื่อแล้วเงื้อมมือขึ้นหมายแทงโดลแซอีกครั้ง อยู่ๆ ก็มีรองเท้าข้างหนึ่งลอยละลิ่วปลิวมากระแทกหลังชายคนดังกล่าวอย่างจัง ทำให้เขาถึงกับหน้าคว่ำและเสียหลักลงไปกองกับพื้น
เมื่อเห็นว่าผู้ที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้คือนายน้อยอึนโอ โดลแซก็โล่งใจและร้องไห้เหมือนเด็กๆ (ภารกิจสิ้นสุด ไม่ต้องวางมาดนายอำเภออีกต่อไป) อึนโอยังคงยืนเขย่งเป็นกระต่ายขาเดียว เขาสั่งให้อีบังหยิบรองเท้า (ที่ปาใส่หลังคนของใต้เท้าเชเมื่อสักครู่) มาให้ อีบังจึงรีบวิ่งไปหยิบรองเท้าแล้วนำมาสวมให้อึนโอ ระหว่างสวมรองเท้าอึนโอชี้หน้าคนของใต้เท้าเช แล้วกล่าวว่า "นึกแล้วเชียวว่าต้องเกิด เพราะนายน้อยคนนั้น (จูวอล) ไม่มีทางพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระ" (ตอนที่แล้วจูวอลเตือนอึนโอว่าพ่อของตนไม่มีทางอยู่เฉย หากอึนโอไม่ยอมให้ตนนำศพลี โซรินกลับไป)
คนสนิทของใต้เท้าเชกระชับมีดในมือเมื่อเห็นอึนโอเดินเข้ามาหา อึนโอยืนประจันหน้ากับชายคนดังกล่าวแล้วถามอย่างไม่สะทกสะท้านว่า "จะสู้กับตนหรือ" ชายคนดังกล่าวตอบว่า "ทำไมจะทำไม่ได้ " พลางตั้งท่าเตรียมพร้อม อึนโอหัวเราะแล้วพูดว่า "เจ้ากล้าแทงบุตรชายคนเล็กของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก อย่างมหาเสนาบดีคิม อึนบูด้วยหรือ ที่กล้าดีขนาดนี้คงเป็นเพราะมีใต้เท้าเชหนุนหลังสินะ แต่อย่าลืมว่าเจ้าก็เป็นแค่สมุนของใต้เท้าเช หากข้าเป็นอะไรขึ้นมา คนที่จะโดนท่านพ่อของข้าสับเป็นชิ้นๆ ก็คือเจ้า ไม่ใช่ใต้เท้าเช" ชายคนดังกล่าวจ้องหน้าอึนโอด้วยความอาฆาตแค้น อึนโอสั่งให้เขาเก็บมีดแล้วรีบพาลูกน้องกลับไปเสีย แต่ก่อนกลับต้องก้มคำนับตนเสียก่อน ซึ่งชายคนดังกล่าวก็ยอมทำตามแต่โดยดี
เมื่อสมุนของใต้เท้าเชกลับไปแล้ว โดลแซก็ร้องไห้โฮแล้ววิ่งเข้ามากอดอึนโอเหมือนคนขวัญเสีย อึนโอภูมิใจในตัวโดลแซมากที่รับผิดชอบหน้าที่ๆ ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี ถึงขนาดยอมปกป้องศพหญิงสาวที่ตนไม่เคยรู้จักด้วยชีวิต เขาตบหลังโดลแซด้วยความรักและกล่าวชื่นชมว่า "เจ้าทำได้ดีมาก ทำดีจริงๆ"
เมื่อลูกน้องคนสนิทกลับมารายงานว่าทำงานพลาด ใต้เท้าเชก็โมโหหนักถึงขนาดปาท่อนไม้ใส่ลูกน้องจนศีรษะแตก จูวอลเห็นลูกน้องคนสนิทของใต้เท้าเชได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ก็รู้ได้ทันทีว่าแม้แต่ใต้เท้าเช (ที่คุยโวว่าจะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง) ก็ยังนำศพลี โซรินกลับมาไม่สำเร็จ เขาจึงยิ้มเยาะด้วยความสะใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น อึนโอบอกสามเกลอให้เตรียมตัวจัดงานศพให้ลี โซริน พร้อมทั้งแจ้งข่าวให้ชาวเมืองมาร่วมไว้อาลัย และขอขมาที่เคยนินทาเธอผิดๆ จนทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียง เมื่อสามเกลอออกจากห้องไปแล้ว อึนโอก็พูดขึ้นว่า "ยัยความจำเสื่อม นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าจะทำเพื่อเจ้าได้ อย่างน้อยร่างของเจ้าก็จะได้นอนพักผ่อนอย่างสงบสุข เมื่อเสร็จจากงานศพเจ้าแล้วข้าก็จะไปจากที่นี่เสียที"
ใต้เท้าเชรู้สึกหงุดหงิดที่ลูกน้องนำศพลี โซรินกลับมาไม่สำเร็จ จึงคิดที่จะจัดการด้วยตนเอง ขณะที่เขากำลังจะออกจากบ้าน อีบังก็รีบวิ่งมาส่งข่าวเรื่องที่นายอำเภอจะจัดงานศพให้ลี โซริน แม้จะรู้สึกโล่งใจแต่ใต้เท้าเชก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมนายอำเภอที่เคยยืนกรานว่าจะนำศพกลับไปชันสูตรโดยอ้างว่าเป็นคดีฆาตกรรม และยังหวงศพนักหนา กลับยอมวางมือกลางคันโดยที่ยังไม่ได้สืบสวนหาข้อเท็จจริงด้วยซ้ำ อีบังแสดงความเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะนายอำเภอคนนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้นายอำเภอคงสำนึกผิดที่คิดแข็งข้อกับใต้เท้าเช ใต้เท้าเชฟังได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
มีการติดประกาศเพื่อแจ้งให้ชาวเมืองทราบเรื่องงานศพลี โซริน พร้อมทั้งขอให้ประชาชนไปร่วมไว้อาลัยและขอขมาที่เคยพูดถึงเธอในทางเสื่อมเสีย แม้ชาวบ้านบางคนจะเกรงกลัวอิทธิพลของใต้เท้าเชจนไม่กล้าทำตามคำร้องขอของนายอำเภอ แต่ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่าตนจะไปเคารพศพลี โซริน และถือโอกาสเข้าพบนายอำเภอเพื่อร้องเรียนเรื่องใต้เท้าเชเรียกเก็บภาษีและส่วยจากคนจนในอัตราที่สูงลิบ แม้ชาวบ้านอีกคนจะเตือนว่าหากทำเช่นนั้นอาจถูกใต้เท้าเชฆ่าตายได้ แต่เขามองว่าถึงไม่ถูกเฆี่ยนตีจนตาย สักวันก็ต้องอดตายอยู่ดี หลังยืนวิพากษ์วิจารณ์กันได้สักพัก ทั้งคู่ก็พบว่าจูวอลยืนอ่านประกาศอยู่ทางด้านหลัง จึงเดินเลี่ยงไปด้วยความหวาดกลัว
แม้อึนโอจะตั้งศพลี โซรินไว้ในที่ว่าการอำเภอ 3 วัน เพื่อให้ชาวบ้านมาเคารพและขอขมาศพ แต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เพราะผ่านไปสองวันแล้วก็ยังไม่มีใครกล้ามา ทำให้อึนโอรู้สึกสลดใจมาก เขาคุยกับศพลี โซรินว่า ดีแล้วที่เธอไม่ได้พบคู่หมั้น (จูวอล) ก่อนไป เพราะคู่หมั้นของเธอไม่รู้สึกรู้สมแถมยังจำหน้าเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ อึนโอทำหน้าเศร้าแล้วถามขึ้นว่า "นรก คือที่ๆ เจ้าเดินทางไปจริงๆ หรือ"
วันรุ่งขึ้นมีการเคลื่อนศพลี โซรินไปฝัง หญิงรับใช้ของลี โซรินสวมชุดขาวเข้ามาคำนับและกล่าวอวยพรอึนโอ เมื่อเธอออกจากห้องไปแล้ว อึนโอก็สวมเสื้อคลุมสีขาวเพื่อไปร่วมพิธีฝังศพ โดลแซถามว่าเสร็จจากงานศพแล้วเราจะไปจากที่นี่จริงๆ หรือ อึนโอตอบว่าเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ต่อ โดลแซกล่าวว่าเป็นเพราะอึนโอ ผู้หญิงคนนั้น (ลี โซริน/อารัง) ถึงได้นอนพักอย่างสงบในอีกโลกหนึ่ง อึนโอซึ่งกำลังผูกสายรัดเสื้ออยู่ถึงกับหยุกกึก โดลแซยังคงบ่นอย่างอัดอั้นเรื่องที่ไม่มีใครมาเคารพและขอขมาศพหญิงสาวเลย เขากล่าวว่าเรื่องนี้จะโทษชาวบ้านว่าใจจึดใจดำก็ไม่ถูก เพราะพวกเขาก็ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากเช่นกัน
เมื่ออึนโอเดินออกจากห้อง เขาก็ต้องตกตะลึงเมือพบอารังยืนอยู่ตรงหน้า อารังเดินเข้าไปหาแล้วถามว่า "พูดไม่ออกเลยหรือ" อึนโอได้แต่ยืนอึ้งพูดไม่ออก อารังบอกว่าเธอดีใจที่ได้เจออึนโออีกครั้ง โดลแซ (ที่กลับเข้าไปหยิบของในห้อง) เดินออกมาเจออารังก็ถามว่า มาเคารพศพหรือ อึนโอถึงกับช็อคที่โดลแซมองเห็นอารัง เขาจึงสั่งให้โดลแซล่วงหน้าไปก่อน โดลแซมัวแต่ยืนงงเลยถูกอึนโอไล่ตะเพิด (โดยไม่ละสายตาไปจากอารัง) เขาจึงรู้สึกสงสัยว่าอารังเป็นใครกันแน่ เพราะอึนโอเห็นเธอแล้วได้ยืนตะลึงตาค้างราวกับเห็นคนตายแล้วฟื้น เขาหยุดเดินแล้วนึกสงสัยว่าอึนโอต้องแอบคบเธออยู่โดยไม่บอกให้เขารู้แน่ๆ
อึนโออยากรู้ใจจะขาดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาถามว่า เธอไปนรกแล้วไม่ใช่หรือ และทำไมโดลแซถึงมองเห็นเธอ อารังไม่ตอบคำถาม เพราะมัวแต่เป็นปลื้มที่รู้ว่าอึนโอเป็นห่วงและเที่ยวออกตามหาเธอจนทั่ว อึนโออดรนทนไม่ไหวจึงเขย่าตัวอารังแล้วตะคอกถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อารังตอบว่าเธอกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว อึนโอได้ยินแล้วถึงกับเข่าอ่อน เขาจ้องมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ตรวจดูที่ลำคอ (ว่ามีสัญลักษณ์รูปทรงกลมเหมือนตอนที่เป็นวิญญาณหรือไม่) และตามร่างกาย ก่อนลากอารังเข้าห้อง แล้วถามว่าเธอกลับมาเป็นคนอีกครั้งได้ยังไง
ย้อนกลับไปช่วงที่อารังยืนประจันหน้ากับผู้เฝ้าประตู... เมื่อมูยองพยักหน้าส่งสัญญาณ ผู้เฝ้าประตูก็ลอย เข้าไปในถ้ำด้านใน ไม่นานก็มีแสงสว่างเจิดจ้าเปล่งออกมา มูยองเดินนำอารังเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ลอยไปในอากาศ มูยองพาอารังลอยไปบนฟ้าก่อนมาหยุดยืนตรงหน้าประตูสวรรค์ ทันใดนั้นก็มีเสียงใครบางคนพูดว่า "อารัง เจ้าต้องการพบข้าทำไมรึ" เมื่ออารังแหงนมองไปข้างหน้าก็พบว่ามีชายแก่ชุดดำมาดเข้ม และชายหนุ่มชุดขาวเจ้าเสน่ห์ยืนมองเธออยู่บนศาลา (ท่านมหาเทพดีใจจนออกนอกหน้าที่ได้เจออารังบนสรวงสวรรค์)
เมื่อมีกลิ่นหอมโชยมา มัจจุราชก็หันหน้าไปมองมหาเทพ (ที่กำลังยืนทำหน้าหล่อ) ด้วยความสงสัย จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปดมแล้วกระซิบถามว่า "นี่ท่านเอาอะไรมาพ่นใส่ตัวกันแน่" มหาเทพพูดเสียงหล่อโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่อารังว่า "ถึงยังไงนางก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิง" (มหาเทพพ่นกลิ่นหอมจากแดนสวรรค์เพื่อเพิ่มเสน่ห์และเป็นการต้อนรับอารัง - ในละครมีเสียงพ่นสเปรย์ด้วย)
อารังจ้องหน้ามัจจุราชแล้วกล่าวว่าในที่สุดเธอก็ได้พบกับ "ตาเฒ่ามหาเทพ" เสียที มัจจุราชได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง ส่วนมหาเทพยืนยิ้มแล้วบอกอารังว่า "ข้าอยู่ทางนี้" อารังหันไปมองชายหนุ่มในชุดสีขาวแล้วถึงกับตกตะลึง เธอถามด้วยความตกใจว่า "ท่านน่ะหรือคือตาเฒ่า...มหาเทพ" มหาเทพได้ยินแล้วอารมณ์เสีย เลยบอกอารังให้หยุดเรียกตนว่าตาเฒ่า และถามว่าตนดูเหมือนคนแก่ตรงไหน อารังรู้ว่าท่านมหาเทพมีอายุนับพันนับหมื่นปี เลยบอกว่าอย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก มูยองหันมาเตือนอารังให้ระวังกิริยา แต่อารังแย้งว่าเธอไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำตัวสำรวมในตอนนี้ มูยองเลยดุอารังอีกครั้ง
มหาเทพห้ามทัพแล้วบอกให้อารังเข้าเรื่อง อารังจึงถามว่า ทำไมเธอถึงต้องมาตายในสภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้ (ถูกฝังอำพรางใต้ดิน) มหาเทพถามกลับหน้าตาเฉยว่า "จริงรึ" อารังเจอไม้นี้เลยวีนต่อไม่ถูก เธอถามท่านมหาเทพแบบงงๆ ว่า "ท่านไม่รู้หรอกเหรอ ท่านคือมหาเทพนะ" มหาเทพทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วบอกว่า เป็นมหาเทพใช่ว่าจะรู้ทุกเรื่อง ตนมีผู้คนที่ต้องดูแลมากมาย จะมัวใส่ใจอารังเพียงคนเดียวได้อย่างไร อารังไม่ได้เป็นอะไรกับตนสักหน่อย มหาเทพกล่าวต่อว่า ถ้าอารังอยากรู้ใจจะขาดตนกับมหาเทพจะลองปรึกษากันดู มหาเทพหันไปทำท่าซุบซิบกับมัจจุราช แต่มัจจุราชไม่ยอมรับมุก ทั้งยังถามว่าเราตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจัดการเรื่องนี้ยังไง ทำไมต้องแกล้งทำเป็นปรึกษากันด้วย
มหาเทพห้ามทัพแล้วบอกให้อารังเข้าเรื่อง อารังจึงถามว่า ทำไมเธอถึงต้องมาตายในสภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้ (ถูกฝังอำพรางใต้ดิน) มหาเทพถามกลับหน้าตาเฉยว่า "จริงรึ" อารังเจอไม้นี้เลยวีนต่อไม่ถูก เธอถามท่านมหาเทพแบบงงๆ ว่า "ท่านไม่รู้หรอกเหรอ ท่านคือมหาเทพนะ" มหาเทพทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วบอกว่า เป็นมหาเทพใช่ว่าจะรู้ทุกเรื่อง ตนมีผู้คนที่ต้องดูแลมากมาย จะมัวใส่ใจอารังเพียงคนเดียวได้อย่างไร อารังไม่ได้เป็นอะไรกับตนสักหน่อย มหาเทพกล่าวต่อว่า ถ้าอารังอยากรู้ใจจะขาดตนกับมหาเทพจะลองปรึกษากันดู มหาเทพหันไปทำท่าซุบซิบกับมัจจุราช แต่มัจจุราชไม่ยอมรับมุก ทั้งยังถามว่าเราตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจัดการเรื่องนี้ยังไง ทำไมต้องแกล้งทำเป็นปรึกษากันด้วย
มัจจุราชเตือนให้มหาเทพรักษาสัญญาก่อนหันไปพูดกับอารังว่า ความจริงแล้วเธอจะต้องไปชดใช้กรรมในนรก แต่เนื่องจากมหาเทพอ้อนวอนตนไว้... มหาเทพแย้งว่าตนไม่ได้อ้อนวอนสักหน่อย แต่มัจจุราชกลับประกาศเสียงดังลั่นว่า "เป็นเพราะมหาเทพอ้อนวอน ข้าจึงจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้นับตั้งแต่มีการก่อตั้งสรวงสวรรค์ เราจะส่งเจ้ากลับไปยังโลกมนุษย์ เพื่อให้เจ้าค้นหาคำตอบในเรื่องที่อยากรู้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าทำไม่สำเร็จเจ้าจะตกนรกขุมที่ลึกที่สุดเป็นเวลานานกว่าหนึ่งพันล้านปี และจะทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสโดยไม่มีวันหนีพ้น หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ สิ่งเดียวที่เจ้าจะทำได้ก็คือการนึกเสียใจที่ดั้นด้นมาที่นี่ในวันนี้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเจ้ายังจะรับโอกาสนี้อีกมั๊ย" แม้จะเป็นเดิมพันที่ค่อนข้างเสี่ยงแต่อารังก็รีบคว้าโอกาสไว้ในทันที
เมื่ออารังยอมรับเงื่อนไข ท่านมหาเทพและมัจจุราชก็เริ่มทำการชุบชีวิตอารัง (ใต้วัตถุทรงกลมรูปหยินหยาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของต้นกำเนิดสรรพสิ่งในจักรวาลตามลัทธิเต๋า - สัญลักษณ์ดังกล่าวปรากฏอยู่ในธงชาติของเกาหลีใต้ด้วย) มหาเทพเริ่มต้นชุบชีวิตโดยอธิบายว่า ก่อนที่สรวงสรรค์และโลกมนุษย์จะบังเกิดขึ้น จักรวาลนี้มีเพียงหนึ่งหยินและหยางเท่านั้น เพราะหยินหยางสรรพสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สรวงสวรรค์, โลกมนุษย์, เสียง, ฤดูกาล , วิญญาณ, ธาตทั้งห้า ฯลฯ จึงถือกำเนิดขึ้น ดังนั้น เนื้อแท้ของจักรวาลก็คือ พลังแห่งหยินและหยางนั่นเอง
มหาเทพและมัจจุราชรวบรวมพลังในตัว (พลังของมหาเทพสีขาว ส่วนพลังของมัจจุราชสีดำ) แล้วถ่ายทอดให้กับอารังซึ่งยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองเทพ พลังดังกล่าวได้หลอมรวมเข้ากับวิญญาณของอารังจนกลายเป็นดวงจิตที่มีพลังหยินหยาง มหาเทพเดินเข้ามาสัมผัสลูกแก้วแห่งดวงจิตของอารัง พลางกล่าวอย่างดีใจว่าตนและมัจจุราชทำสำเร็จแล้ว มัจจุราชเดินเข้ามาหาแล้วบ่นตามฟอร์มว่า ลูกแก้วนี่แหล่ะคือตัวปัญหา และปัญหาก็เริ่มต้นจากตรงนี้ มหาเทพบอกมัจจุราชว่าอย่ากังวลเพราะตนเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง มหาเทพปาลูกแก้วดังกล่าวไปที่ต้นกำเนิดของจักรวาล (หยินหยาง) หลังจากนั้นลูกแก้วดังกล่าวก็ตกลงไปในแม่น้ำบนโลกมนุษย์
เมื่ออารังยอมรับเงื่อนไข ท่านมหาเทพและมัจจุราชก็เริ่มทำการชุบชีวิตอารัง (ใต้วัตถุทรงกลมรูปหยินหยาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของต้นกำเนิดสรรพสิ่งในจักรวาลตามลัทธิเต๋า - สัญลักษณ์ดังกล่าวปรากฏอยู่ในธงชาติของเกาหลีใต้ด้วย) มหาเทพเริ่มต้นชุบชีวิตโดยอธิบายว่า ก่อนที่สรวงสรรค์และโลกมนุษย์จะบังเกิดขึ้น จักรวาลนี้มีเพียงหนึ่งหยินและหยางเท่านั้น เพราะหยินหยางสรรพสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สรวงสวรรค์, โลกมนุษย์, เสียง, ฤดูกาล , วิญญาณ, ธาตทั้งห้า ฯลฯ จึงถือกำเนิดขึ้น ดังนั้น เนื้อแท้ของจักรวาลก็คือ พลังแห่งหยินและหยางนั่นเอง
มหาเทพและมัจจุราชรวบรวมพลังในตัว (พลังของมหาเทพสีขาว ส่วนพลังของมัจจุราชสีดำ) แล้วถ่ายทอดให้กับอารังซึ่งยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองเทพ พลังดังกล่าวได้หลอมรวมเข้ากับวิญญาณของอารังจนกลายเป็นดวงจิตที่มีพลังหยินหยาง มหาเทพเดินเข้ามาสัมผัสลูกแก้วแห่งดวงจิตของอารัง พลางกล่าวอย่างดีใจว่าตนและมัจจุราชทำสำเร็จแล้ว มัจจุราชเดินเข้ามาหาแล้วบ่นตามฟอร์มว่า ลูกแก้วนี่แหล่ะคือตัวปัญหา และปัญหาก็เริ่มต้นจากตรงนี้ มหาเทพบอกมัจจุราชว่าอย่ากังวลเพราะตนเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง มหาเทพปาลูกแก้วดังกล่าวไปที่ต้นกำเนิดของจักรวาล (หยินหยาง) หลังจากนั้นลูกแก้วดังกล่าวก็ตกลงไปในแม่น้ำบนโลกมนุษย์
ลูกแก้วดังกล่าวจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นร่างอารังในสภาพขดตัวคล้ายเด็กทารกในครรภ์ (เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่) ปัญหาก็คือ อารังไม่มีเสื้อผ้าติดตัวมาด้วย เธอเลยต้องขึ้นฝั่งในสภาพชีเปลือยแล้วเดินเท้าเปล่าไปตามทุ่งหญ้า ก่อนย่องเข้าไปในบ้านคนเพื่อขโมยเสื้อผ้าที่แขวนตากอยู่บนราว
แม้จะกลับมาเป็นคนแล้วอารังก็ยังคงมองเห็นผี เธอจึงแวะทักผีเฝ้าไห (ไหหมักซอสปรุงรส) ผีสาวแปลกใจที่อารังมองเห็นตน เลยถามว่าอารังเป็นผีหรือเป็นคนกันแน่ อารังยกมือขึ้นมือปัดผมเพื่ออวดลำคอ (หากเป็นวิญญาณจะมีสัญลักษณ์ปรากฏที่ลำคอ แต่ตอนนี้อารังไม่มีแล้ว) หลังทดสอบกับผีแล้ว อารังก็หันมาทดสอบกับเด็กเพื่อให้แน่ใจว่าเธอเป็นคนแล้วจริงๆ เด็กคนดังกล่าวมองเห็นอารัง ทั้งยังชมว่าเธอสวย อารังเลยอายม้วนและอารมณ์ดีสุดๆ ขนาดมีคนเดินชนอย่างจังอารังก็ยังดีใจ (แม้จะรู้สึกเจ็บก็ยังดีกว่าให้เขาเดินทะลุตัว) ระหว่างทางอารังเห็นป้ายประกาศเชิญชวนให้ไปร่วมไว้อาลัยในงานศพลี โซริน เธอจึงรู้สึกซาบซึ้งใจมากที่อึนโอทำทุกอย่างเพื่อเธอ
ตัดกลับมายังช่วงเวลาปัจจุบัน...หลังได้ฟังเรื่องที่อารังเล่า อึนโอก็รู้สึกเหลือเชื่อที่อารังถูกส่งตัวกลับมา ทั้งยังสงสัยว่าทำไมอารังจึงได้รับสิทธินั้นเพียงคนเดียว อารังตอบว่าเธอเองก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะตัวเธอน่าสงสาร อารังไม่รู้ว่าอึนโอกำลังจะไปจากเมืองนี้ เลยบอกอึนโอให้เริ่มสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของเธอ อึนโอยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงโดลแซตะโกนเรียกเพราะได้เวลาเคลื่อนขบวนศพแล้ว อึนโอไม่มีทางเลือกเลยสั่งให้อารังรอตนอยู่ในห้อง และห้ามออกไปไหนโดยเด็ดขาด
อารังทนนั่งอุดอู้อยู่แต่ในห้องไม่ไหวเลยเดินไปที่ห้องลี โซริน แล้วพูดว่าเธอกลับมาแล้ว อารังหยิบกระจกขึ้นมาส่องหน้า เมื่อเห็นหน้าตนเองในกระจกเป็นครั้งแรก (ตอนเป็นผีอารังส่องกระจกแล้วไม่เห็นหน้าตัวเอง) อารังก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจมากที่เธอกลายเป็นคนแล้วจริงๆ อารังนึกถึงคำพูดของท่านมหาเทพที่บอกว่าจะให้เวลาเธอ 3 เดือนเพ็ญ (ราว 3 เดือน) หากเดือนเพ็ญครั้งที่สามปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเมื่อไหร่ เวลาของอารัง (บนโลกมนุษย์) จะสิ้นสุดลงทันที มัจจุราชกล่าวเสริมว่า เมื่อถึงเวลานั้น หากอารังยังไม่ได้คำตอบ เธอจะถูกส่งไปรับโทษในนรกทันที
อารังถามว่า เธอจะรู้ได้ยังไงว่าหาความจริงเจอแล้วหรือยัง มหาเทพตอบว่าถ้าอารังสืบพบความจริงเกี่ยวกับการตายของตัวเองเมื่อไหร่ ตนจะสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณ และย้ำว่ามีเพียงฆาตกรตัวจริงเท่านั้นที่จะทำให้กระดิ่งใบนี้สั่นได้ มัจจุราชมั่นใจว่าอารังไม่มีทางรู้ความจริง เลยขู่ว่าตนจะเลือกขุมนรกที่เหมาะกับอารังเตรียมไว้ให้ อารังถามว่า หากเธอค้นพบความจริง มหาเทพและมัจจุราชจะยอมให้เธออยู่บนโลกมนุษย์ต่อไหม มหาเทพเอียงคอตอบว่า เมื่อถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกครั้ง
อารังชักเริ่มหงุดหงิดเมื่อนึกถึงคำพูดของมัจจุราช เลยโม้ว่าทำไมให้เวลาตั้ง 3 เดือนเพ็ญ สำหรับเธอแค่ 1 เดือนเพ็ญก็เกินพอแล้ว เธอไม่อ่อนแอเหมือนลี โซริน และยังแตกต่างจากผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เพราะเธอจะไม่นิ่งดูดายและจะไม่ร้องไห้โดยที่ไม่รู้อะไรเลย
ขณะนั้นมหาเทพและมัจจุราชกำลังนั่งเล่นหมากล้อม มัจจุราชรู้ว่าความจริงแล้วสาเหตุการตายของอารังไม่ใช่เรื่องสำคัญ (ถึงขนาดต้องชุบชีวิตขึ้นมาใหม่) จึงถามขึ้นว่า แผนการของท่านมหาเทพจะใช้ได้ผลจริงๆ หรือ มหาเทพตอบว่า ก็แค่อยากลองดูสักครั้ง มัจจุราชเชื่อว่าอารังไม่มีทางทำสำเร็จ จึงเตือนมหาเทพให้รักษาสัญญา มหาเทพถามว่าถ้าหากตนแพ้ มัจจุราชอยากได้อะไร มัจจุราชมองเรือนร่างอันหล่อเหลาเยาว์วัยของท่านมหาเทพ แล้วตอบแบบยิ้มๆ ว่า "ร่างของท่าน" (ขอแลกร่างกัน) ทำเอาท่านมหาเทพอึ้งไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง
มหาเทพเห็นมัจจุราชจ้องมองกระดานแบบลุ้นๆ เลยหยิบหมากแล้วถามกลับว่าหากตนชนะ (อารังทำสำเร็จ) มัจจุราชจะทำยังไง ตอนนั้นมัจจุราชกำลังลุ้นให้มหาเทพวางหมากในจุดที่ตนต้องการ เพื่อที่ตนจะได้ชนะในตานั้น มหาเทพรู้ทันเลยแกล้งทำเป็นยึกยักและกล่าวว่า ตนจะบอกทีหลังว่าต้องการอะไร และขอให้มัจจุราชรักษาสัญญา เมื่อมัจจุราชรับปาก มหาเทพก็วางหมากในจุดที่มัจจุราชแอบลุ้น มัจจุราชหัวเราะลั่นที่ตนเป็นฝ่ายชนะ หลังแกล้งแพ้ มหาเทพอดเป็นห่วงผู้คนบนโลกมนุษย์ไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่มัจจุราชเดินหมากชนะจะมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก มัจจุราชกล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีคนตายเพื่อให้ชีวิตใหม่ได้เกิดมาแทนที่
ในขณะที่อึนโอเคลื่อนศพลี โซรินไปฝัง จูวอล (ซึ่งอยู่ที่บ้าน) ก็มองไปที่กระท่อมหลังหนึ่งด้วยท่าทีร้อนใจ ภายในกระท่อมมีหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หลังม่านสีแดง เธอกำมือแน่นเหมือนกำลังโกรธจัด จูวอลทำท่าเหมือนจะไขกุญแจเข้าไปในกระท่อมหลังนั้น แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ
ลูกน้องคนสนิทของใต้เท้าเชเปิดคลังเสบียงที่ภายในบรรจุกระสอบข้าว มัน และข้าวโพด เพื่อแจกจ่ายให้กับชาวบ้านผู้หิวโหยโดยบอกว่าเป็นความเมตตาของใต้เท้าเช ทั้งๆ ที่อาหารแทบทั้งหมดล้วนเสื่อมสภาพ บางส่วนก็ขึ้นรา บางกระสอบก็เน่าเสีย ลูกน้องของใต้เท้าเชกล่าวว่า ถึงแม้จะเป็นของเสียแต่ถ้าคัดส่วนที่เน่าเสียทิ้งไปก็ยังมีบางส่วนที่พอกินได้ ชาวบ้านคนหนึ่งเปิดกระสอบดูก็พบว่าข้าวโพดขึ้นรา เลยแอบบ่นว่าถ้าใต้เท้าเชแจกอาหารให้พวกตนก่อนหน้านี้ (ก่อนที่จะเน่าเสีย) ก็คงดี แต่ด้วยความอดอยากหิวโหย ชาวบ้านเลยจำเป็นต้องขนอาหารเน่าเสียกลับบ้านไป
ไม่นานใต้เท้าเชก็เดินเข้ามาในคลังเก็บเสบียงส่วนตัว เมื่อเห็นชาวบ้านพากันขนกระสอบเน่าๆ ออกไป ใต้เท้าเชก็บ่นอย่างเสียดายว่า "เสียของจริงๆ" คนสนิทของใต้เท้าเชพูดปลอบใจว่าถึงอย่างไรใต้เท้าเชก็นำอาหารพวกนี้ไปกินหรือขายต่อไม่ได้อยู่แล้ว นำมาแจกให้ชาวบ้านอย่างนี้จะเป็นผลดีมากกว่า เพราะชาวบ้านจะได้รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณใต้เท้าเช ใต้เท้าเชหันมาเห็นชาวบ้านคนหนึ่งถือกระสอบที่ยังอยู่ในสภาพดี เลยโวยวายว่าของดีๆ แบบนั้นปล่อยให้ชาวบ้านนำออกไปได้ยังไง คนสนิทของใต้เท้าเชอธิบายว่าของในนั้นกำลังจะเน่า เมื่อเห็นใต้เท้าเชมีสีหน้าไม่พอใจ เขาจึงบอกให้ชาวบ้านนำกระสอบไปวางไว้ที่เดิม จากนั้นก็รายงานใต้เท้าเชว่ามีใครส่งส่วยมาให้บ้าง (เขาได้รับส่วยจากขุนนางในวังและในอีก 8 เมือง)
อีบังส่งจดหมายมาแจ้งใต้เท้าเชว่า นายอำเภอจะกลับบ้านหลังเสร็จจากงานศพลี โซริน ใต้เท้าเชดีใจมากที่หมดเสี้ยนหนามเสียที เมื่อหันไปเห็นจูวอลเดินเข้ามา ใต้เท้าเชก็แกล้งทำเป็นถามลูกน้องว่า "เมื่อไหร่จะถึงคืนเดือนเพ็ญ (ในที่นี้หมายถึงเดือน 8 ครั้งที่สองของปีอธิกมาส) วันพรุ่งนี้แล้วมิใช่รึ" จูวอลซึ่งกำลังร้อนใจในเรื่องนี้ได้แต่ยืนจ้องหน้าใต้เท้าเชอย่างโกรธแค้น ใต้เท้าเชเรียกจูวอลมาหารือว่าจะทำอย่างไรดี เพราะโอกาสที่จะมีเดือน 8 สองหนไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ (3 ปีมีครั้ง) เขานึกสงสัยว่า หากพรุ่งนี้จูลวอลหา 'ผู้หญิงคนนั้น' ไม่เจอ 'คนๆ นั้น' จะลงโทษจูวอลอย่างไร จะกำจัดจูวอลเพราะทำงานพลาดแค่ครั้งเดียวหรือไม่
จูวอลตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น (ไม่ต้องยุ่งเรื่องของตน) ใต้เท้าเชแนะนำให้จูวอลไปร่วมงานศพคู่หมั้นเพราะที่นั่นคนเยอะ ไม่แน่เขาอาจจะพบหญิงสาวที่กำลังตามหาก็ได้ จูวอลสวนกลับว่าใต้เท้าเชต่างหากที่ควรจะไป เพราะลี โซรินได้ชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้ของเขา หากเขาเลี้ยงเหล้าผู้ที่ไปร่วมงานศพคงจะซื้อใจคนได้มากกว่าการแจกอาหารเน่าๆ ให้ชาวบ้าน พูดจบจูวอลก็ยิ้มเยาะแล้วเดินจากไป ทำให้ใต้เท้าเชไม่พอใจมาก
อารังตัดสินใจไปร่วมพิธีฝังศพของตนเองโดยปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ และตั้งใจว่าจะเริ่มต้นสืบหาความจริงจากที่นั่น ส่วนทางด้านอึนโอก็กำลังยืนมองการฝังศพพลางครุ่นคิดเรื่องอารัง โดยมีโดลแซคอยจับจ้องและสังเกตพฤติกรรมอยู่ตลอดเวลา ส่วนสามเกลอก็พากันสุมหัววิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่นายอำเภออึนโอบอกว่าจะไปจากที่นี่ หนึ่งในสามเกลอเห็นว่านายอำเภอเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ และมักเปลี่ยนใจบ่อยๆ เลยถามว่ามีแผนรองรับในเรื่องนี้แล้วหรือยัง อีบังตำหนิคู่หูและกล่าวอย่างมาดมั่นว่าคราวนี้นายอำเภอต้องไปจากเมืองมีรยางแน่
อารังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ฝังศพอย่างร้อนใจ โดยไม่รู้ว่าจุดที่จะฝังศพอยู่บริเวณไหนกันแน่ เธอมัวแต่มองหาผู้คนหวังสอบถามเส้นทาง เลยเดินชนจูวอลอย่างจัง จูวอลดึงแขนอารังเอาไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะหงายหลังลงไปกองกับพื้น ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อแหวนที่สวมอยู่เปล่งแสงออกมา อารังรีบชักมือออกก่อนกล่าวขอบคุณ แล้วรีบวิ่งไปยังสถานที่ฝังศพ โดยมีจูวอลวิ่งตามไปติดๆ
อึนโอตัดสินใจว่าจะเชื่อเรื่องอารังเล่า เขาคิดว่าในเมื่ออารังกลับมาเป็นคนเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุการตายของตัวเอง เขาก็จะใช้โอกาสนี้สืบหาแม่ด้วยเช่นกัน อึนโอเชื่อว่าถ้ารู้สาเหตุการตายของอารังก็จะพบเบาะแสของแม่ด้วย เขาเลยคิดที่จะกลับไปหารือกับอารังที่อำเภอ ครั้นพอหันหลังกลับอึนโอก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง (หน้าตาคุ้นๆ ) กำลังวิ่งตรงมายังสถานที่ฝังศพ เขาเลยมองตามด้วยความสงสัย อารังไม่อยากให้อึนโอเห็นเลยรีบวิ่งไปหลบทางด้านหลังสามเกลอ (เธอไม่รู้ว่าจูวอลแอบวิ่งตามมาและเฝ้ามองเธออยู่ห่างๆ)
อีบังเห็นอารังก็นึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ เลยสั่งให้เธอนำพลั่วไปช่วยคนอื่นๆ ตักดิน อารังปฏิเสธว่าไม่ใช่หน้าที่เธอ (เรื่องอะไรจะเอาดินมากลบร่างตัวเอง) เลยเกิดการปะทะคารมกันขึ้น เมื่ออึนโอเห็นว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวคืออารังก็รู้สึกตกใจและสังหรณ์ใจว่าต้องเกิดเรื่อง ในที่สุดก็เป็นเรื่องจนได้ อารังเห็นว่าเธอกำลังจะถูกสามเกลอจับได้เลยรีบวิ่งหนี สามเกลอเลยสั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันวิ่งไล่จับอารัง อึนโอเป็นห่วงอารังเลยวิ่งตามหลังไปด้วย ขณะที่จูวอลเองก็แอบวิ่งตามไปเช่นกัน
แม้จะกลายเป็นคนแล้ว อารังก็ยังต้องวิ่งหนีการไล่ล่าอีกเช่นเคย เมื่อวิ่งมาถึงทางตันอารังพยายามปีนกำแพงแต่ปีนขึ้นไม่ได้ จูวอลวิ่งตามมาเห็นเข้า อารังเลยขอให้เขาช่วยเธอ จูวอลไม่ยอมให้อารังเหยียบหลังแต่กลับช่วยอุ้มอารังขึ้นไปนั่งบนกำแพง เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของอารัง จูวอลก็ถึงกับตกตะลึง (และตกหลุมรัก) เขาถามอารังว่าเธอเป็นคนของทางการจริงๆ หรือ อารังตอบเสียงเข้มว่า เธอเป็นยามเฝ้าประตู ยังไม่ทันได้ซักถามอะไรต่อ อึนโอก็ผ่านมาเห็นเข้าเลยตะโกนเรียกและชี้หน้าอารังเหมือนจะเอาเรื่อง อารังรู้ตัวว่าทำผิด (ที่ก่อเรื่องและไม่รออยู่แต่ในห้องตามคำสั่ง) เลยรีบข้ามกำแพงหนีไป กว่าอึนโอวิ่งจะมาถึงอารังก็หายตัวไปแล้ว ทิ้งให้สองหนุ่มยืนเผชิญหน้ากัน